Education/Health
Hot News: มหิดล–Dow ผนึกกำลังยกระดับสมองเด็กไทย
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
“บำรุงราษฎร์”หนุนไทยสู่ Medical Hub เปิดตัว “Smart Personalized HealthMatch”- “Biological Age” ปฏิวัติการตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน!!
ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า โรคเรื้อรังไม่ติดต่อเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 70% ของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยระบบการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม มักมุ่งเน้นการ “ตรวจเพื่อหาโรค” หลังจากอาการปรากฏ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะผู้นำด้าน Smart Preventive Health หรือการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ที่ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาช่วยในการตรวจจับความเสี่ยง เพื่อวางแผนสุขภาพ และป้องกันก่อนเกิดโรค ดังนั้น ล่าสุดเราจึงได้เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย ได้แก่ “Smart Personalized HealthMatch” ระบบที่ช่วยจับคู่แพ็กเกจตรวจสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำ และ “การตรวจอายุทางชีวภาพ (Biological Age)” ที่ช่วยวิเคราะห์อายุที่แท้จริงของร่างกายในระดับเซลล์ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและวางแผนการดูแลสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนวงการแพทย์จากการดูแลเชิงรับ (Reactive Care) ไปสู่การสร้างสุขภาพเชิงรุก (Proactive Care) อย่างสมบูรณ์แบบ
“ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น แต่กลับต้องเผชิญกับความซับซ้อนและสับสนในการเลือกแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่มีอยู่หลากหลาย โรงพยาบาลฯ จึงได้นำเทคโนโลยี Data Science ที่สั่งสมมานานกว่า 45 ปี มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง”
ดร.อาทิรัตน์ กล่าวต่อว่า บำรุงราษฎร์มุ่งมั่นที่จะใช้นวัตกรรมเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ในการรักษาและการดูแลผู้ป่วย ซึ่งนอกจากจะเป็นการยกระดับคุณภาพการบริบาลทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ขั้นสูงและเทคโนโลยีทางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) ผ่านบริการทางสุขภาพที่มีมูลค่าสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หรืออุตสาหกรรมใหม่ (New Economy) ที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมและให้ความสำคัญ เพื่อเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยเรามุ่งเป้าทั้งผู้รับบริการชาวไทยและชาวต่างชาติทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศไทยและที่เข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) เพื่อหวังดึงเม็ดเงินสร้างรายได้เข้าประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพคิดเป็นประมาณ 5% ของ GDP ขณะที่ Medical Tourism ในไทยเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี (10.49% - Grand View Research, 15.7% - Future Market Insight) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP ไทยที่เฉลี่ยเพียง 2-3% เห็นได้ชัดว่ามูลค่าเม็ดเงินใน Sector สุขภาพ เติบโตมากกว่าเศรษฐกิจไทยเกือบ 3-5 เท่า ทำให้ธุรกิจ Healthcare เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่า ตลาด Medical Tourism โลก ในปี 2024 มีมูลค่ารวม 144.5 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยายตัวไปถึง 704.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2033 หรือเติบโตเฉลี่ย 19.08% ต่อปี (CAGR) ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดกลุ่มหนึ่งในอุตสาหกรรม Healthcare โลก ขณะที่ประเทศในเอเชีย–แปซิฟิกครองส่วนแบ่งมากกว่า 25.5% จึงทำให้ไทยอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก
“เทรนด์การดูแลสุขภาพได้เปลี่ยนไปสู่การป้องกันโรคก่อนเกิด บำรุงราษฎร์ในฐานะผู้นำด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และตอกย้ำการเป็นผู้นำด้าน Smart Preventive Health โดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับบริการ โดย Smart Personalized HealthMatch และ Biological Age จะสร้างให้เกิด ‘Personalized Health Journey’ หรือเส้นทางการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบำรุงราษฎร์ ในฐานะหนึ่งในโรงพยาบาลอัจฉริยะที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2569 หรือ World’s Best Smart Hospitals 2026 (อันดับที่ 195 จาก 350 โรงพยาบาลชั้นนำทั่วโลก และเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย) จากการสำรวจของ Newsweek ร่วมกับ Statista” ดร.อาทิรัตน์ กล่าว
ด้าน พญ. ปัญจพาณ์ เหลืองอร่าม แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (ตรวจสุขภาพ) และ ผู้อำนวยการฝ่าย Patient Safety & Medical Record Management โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า Smart Personalized HealthMatch คือ ‘ผู้แนะนำโปรแกรมสุขภาพส่วนตัว’ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความสับสนในการเลือกแพ็กเกจตรวจสุขภาพ และการเลือกบริการที่อาจไม่ตรงกับความจำเป็น โดยระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเบื้องต้นที่ผู้ใช้กรอกผ่านเว็บไซต์ของโรงพยาบาล เช่น อายุ เพศ ประวัติครอบครัว และพฤติกรรมการใช้ชีวิต จากนั้นจะประมวลผลแบบเรียลไทม์เพื่อ ‘จับคู่’ แพ็กเกจหลักและแพ็กเกจเสริมที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับบุคคลนั้นโดยเฉพาะ ประโยชน์หลักของ Smart Personalized HealthMatch คือ ? ตรงจุดและแม่นยำ: ช่วยให้ผู้รับบริการได้ลงทุนในสุขภาพอย่างชาญฉลาด ตรวจในสิ่งที่จำเป็น และไม่มองข้ามความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ ? ง่ายและรวดเร็ว: เปลี่ยนประสบการณ์ที่ซับซ้อนให้เสร็จสิ้นในไม่กี่นาที ? สร้างความมั่นใจ: ผู้รับบริการสามารถตัดสินใจเลือกแพ็กเกจได้อย่างมั่นใจ โดยมีข้อมูลที่พัฒนาบนหลักการทางการแพทย์มาช่วยสนับสนุน
ขณะที่ พญ. สุวรรณา สุวรรณพงษ์ แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ Program Director ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ กล่าวว่า นอกจากการเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมแล้ว การเข้าใจสภาวะร่างกายในปัจจุบันคือสิ่งสำคัญ โดยอายุทางชีวภาพ (Biological Age) คืออายุที่แท้จริงของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งอาจแก่กว่าหรืออ่อนกว่าอายุตามปฏิทินก็ได้ การทราบค่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง “ความพิเศษของนวัตกรรมการตรวจอายุทางชีวภาพของบำรุงราษฎร์ คือการใช้อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงที่วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ (Big Data) ของผู้รับบริการประมาณ 200,000 รายที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ทำให้มีความแม่นยำสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากลผ่านการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์”
การตรวจอายุทางชีวภาพให้ประโยชน์สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1. บอกความเสี่ยงของโรคเรื้อรังล่วงหน้า: งานวิจัยยืนยันว่าอายุทางชีวภาพที่สูงกว่าอายุจริงสัมพันธ์กับความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง โรคสมองเสื่อม และกลุ่มโรคเมตาบอลิก 2. เป็นเครื่องมือติดตามผล (Monitoring Tool) ที่ทรงพลัง: อายุทางชีวภาพสามารถลดลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ทำให้การตรวจนี้เป็นเครื่องมือวัดผลทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้ เพื่อการชะลอวัยอย่างมีประสิทธิภาพ การผสาน 2 นวัตกรรมนี้เข้าด้วยกัน ทำให้บำรุงราษฎร์สามารถมอบ “เส้นทางการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Health Journey)” ที่สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงด้วย Smart HealthMatch ไปจนถึงการวางแผนดูแลสุขภาพระยะยาวด้วยการตรวจอายุทางชีวภาพ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการมีอายุที่ยืนยาวอย่างมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี

Go To Lead


มหิดล–Dow
ผนึกกำลังยกระดับสมองเด็กไทย
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่า สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อยกระดับการพัฒนาเด็กไทยผ่านทักษะสมอง Executive Functions (EF) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระดับประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ การควบคุมตนเอง และความยืดหยุ่นในการเผชิญปัญหาในศตวรรษที่ 21 ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว พร้อมถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์เพื่อเปิดพื้นที่ให้ครู ผู้ปกครอง นักวิชาการ และผู้ทำงานด้านเด็กทั่วประเทศร่วมรับฟังแนวทางความร่วมมือครั้งสำคัญนี้
ภาพอนาคตของเด็กไทยที่สังคมอยากเห็น สุขภาพดี คิดเป็น แก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีวินัย และมีความสุข ล้วนเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทักษะ EF ที่เติบโตสูงสุดในช่วงปฐมวัย มีหน้าที่เกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ การทำงาน (Working Memory) การควบคุมตนเอง ยับยั้งชั่งใจ (Inhibitory Control) และมีความยืดหยุ่น ปรับตัวแก้ปัญหาได้เอง (Cognitive Flexibility) การพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงปฐมวัยนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในระบบนิเวศรอบตัวเด็ก ทั้งครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และองค์กรต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เด็กไทยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพของประเทศ นับเป็นการพัฒนาคนอย่างยั่งยืน
ดร.นุชนาฎ รักษี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในโลกยุค VUCA (Volatility Uncertainty Complexity Ambiguity) ที่เต็มไปด้วยข้อมูล สิ่งยั่วยุ และความซับซ้อน เด็กจำเป็นต้องมีทักษะ EF ในการ ‘หยุดคิดก่อนทำ’ เพื่อเลือกทางที่ถูกต้อง วางแผน และทำงานจนสำเร็จ จนเกิดพฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมาย (Goal directed behaviors) ที่พัฒนาสูงสุดในช่วงปฐมวัย 3-6 ปี และทอดยาวจนถึงวัยรุ่น และเจริญเติบโตเต็มเมื่ออายุ 25 ปี สถาบันฯ ร่วมกับ Dow จึงพัฒนาแพลตฟอร์ม EF Learning Platform ‘ร่วมด้วยช่วยกันสร้างทักษะสมอง EF เด็กไทย’ ที่เปิดอบรมทุกเดือนตลอดปี 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแล้วกว่า 21 ตอน และจะขยายองค์ความรู้ให้เข้าถึงพ่อแม่ ครู บุคลากรสาธารณสุข และนักศึกษา ได้ตรงจุดและทันท่วงที เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัยและการแบ่งปันความรู้ระหว่างผู้เรียน เพื่อให้สังคมไทยมีพื้นที่เรียนรู้ EF แบบต่อเนื่องและยั่งยืน

Go To Lead


กรมอนามัย ปั้นนักจัดการสุขภาพครอบครัว
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยเปิดกิจกรรมยกระดับองค์กร สร้างชุมชนรอบรู้ ลดเสี่ยง NCDs ด้วยนักจัดการสุขภาพครอบครัว Health Literate Family Coach (HLF COACH) ผ่านระบบออนไลน์ กรมอนามัยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และพัฒนาเครือข่ายทุกภาคส่วนมาโดยตลอดมา เพราะการเสริมสร้างทักษะสุขภาพประชาชน ไม่จำกัดเพียงภาคสุขภาพแต่ต้องเร่งสร้างทั่วทั้งสังคม เพื่อให้เกิดกระแสสังคมที่สนับสนุนกันอย่างมีพลัง จึงต้องบูรณาการเชื่อมโยงการยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ประชาชนสามารถเข้าถึงเข้าใจข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่ถูกต้อง และนำไปสู่การตัดสินใจจัดการสุขภาพตนเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากปัจจุบันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเป็นปัญหาสำคัญของคนไทย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ซึ่งเกิดจากการมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 7 ปี 2567– 2568 โดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่างๆ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่า คนวัยทำงาน อายุ 15 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์และอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการสำรวจฯ ในปี 2563 คนไทยมีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 โรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 29.25 โรคเบาหวานเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9
จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป และจากข้อมูลประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนปี 2568 ผ่านระบบ HL Hub กรมอนามัย พบว่าคนไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพไม่เพียงพอร้อยละ 10 และทักษะความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีคะแนนน้อยที่สุด คือ การเข้าใจข้อมูลด้านสุขภาพ รองลงมาคือ การเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ กรมอนามัยจึงเร่งยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ทั้งในส่วนขององค์กร ชุมชน และบุคคล โดยพัฒนาแกนนำองค์กรต่างๆ ร่วมสนับสนุนให้เกิดการการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในครอบครัว เพื่อจัดการลดกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ประเด็นเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี โดยมุ่งเป้าหมายเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพทุกกลุ่มวัย และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี

Go To Lead


'KTMS' รับอานิสงส์ขยาย 3 สาขาใหม่
นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) “KTMS” ผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมในทุกๆ ปีจะมีผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นทุกปีประมาณ 15,000 ราย ทำให้ภาครัฐมีการออกนโยบายและเพิ่มการใช้สิทธิ์ต่างๆ เพื่อรองรับผู้ป่วยโรคไตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ KTMS ได้รับอานิสงส์ และมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกลยุทธ์ปี 2569 ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าเดินหน้าขยายสาขาและหน่วยไตเทียมเพิ่มอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมหลากหลายพื้นที่ เพื่อรองรับกับจำนวนผู้ป่วยที่สูงขึ้นและผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงการรักษาได้อย่างทันท่วงที และธุรกิจผลิตน้ำยาไตเทียมที่เตรียมจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็นประมาณ 200,000 แกลลอนต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมที่มีจำนวนผุ้ป่วยเพิ่มขึ้นในทุกๆปี
สำหรับสรุปผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 12.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 356.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการเท่ากับ 180.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.88% (YoY) และงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 33.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198.56% (YoY) โดยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการเท่ากับ 523.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.80% (YoY) ส่วนทิศทางธุรกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 โดยบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายสาขาเพิ่มอีก 3 แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีหน่วยไตเทียม จำนวน 39 สาขา และมีอัตราการครองเตียงสูงถึง 85% ส่งผลให้รายได้รวมของ KTMS ในปี 2568 เติบโตเฉลี่ยต่อปี 20-30% ตามแผนที่วางไว้

Go To Lead


NKT ผนึก “Chersery Home”
ปั้นธุรกิจดูแลผู้สูงวัย
รศ.ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการบริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) (NKT) เปิดเผยว่า โครงการนครธน ลอง ไลฟ์ เซ็นเตอร์ เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณซอยพระราม ที่ 2 ซอย 56 (ห่างจากโรงพยาบาลนครธนเพียง 350 เมตร) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเชื่อมโยงกับชุมชนโดยรอบ ทั้ง หมู่บ้าน ที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล คอมมูนิตี้ มอลล์ และศูนย์การค้าต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับพื้นที่พระราม 2 ให้เป็นคอมมูนิตี้ที่เหมาะกับทุกคนทุกช่วงวัย โดยการพัฒนาโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการรองรับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัว จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home (เฌ้อสเซอรี่ โฮม) ที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลผู้สูงอายุกว่า 10 ปี เพื่อเสริมศักยภาพด้านการบริการ และการเข้าถึงความต้องการที่แตกต่างของผู้สูงวัยและญาติ รวมไปถึงการส่งเสริมสุขภาพให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เกิดเป็นโครงการ “นครธน ลอง ไลฟ์ เซ็นเตอร์ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม
Chersery Home International มุ่งพัฒนาโมเดลการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวมครอบคลุมการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟู พร้อมผสานมาตรฐานสากล และนวัตกรรมที่ใช้อยู่ในระดับนานาชาติ รวมถึงเครือข่ายประกันสุขภาพ ทั้งใน และต่างประเทศ เพื่อรองรับทั้งผู้รับบริการชาวไทย และชาวต่างชาติ โดยการจับมือกับ บริษัท นครธน เนอสซิ่ง แคร์ จำกัด ในเครือบริษัท โรงพยาบาลนครธน จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีศักยภาพด้านการแพทย์ และชื่อเสียงที่แข็งแรง จะช่วยเสริมความพร้อมของศูนย์แห่งนี้ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เรามีเป้าหมายเดียวกัน คือ สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ที่เป็นมิตรกับชุมชน และตอบโจทย์ความต้องการสุขภาพของทุกช่วงวัย และในปี 2573 เรามุ่งผลักดันให้ นครธน ลอง ไลฟ์ เซ็นเตอร์ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม ก้าวสู่การเป็นศูนย์ดูแล ฟื้นฟู และบริการสุขภาพผู้สูงอายุชั้นนำของอาเซียน ที่ผสานความเป็นสากลเข้ากับการบริการแบบไทย และหัวใจความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
โครงการ นครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว โดยผสานต้นไม้ และพื้นที่พักผ่อนเข้าในผังอาคารเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ที่มาใช้บริการ และโครงการฯ ได้ดำเนินงานตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง มีความคืบหน้างานก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 58% เป็นไปตามกรอบเวลา พร้อมจัดเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และระบบบริหารจัดการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งคาดการณ์ จะเปิดให้บริการในปี 2569

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com