Education/Health
Hot News: จุฬาฯ จับมือ 5 องค์กรชั้นนำ สร้างหลักสูตร Chula LGO
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
จุฬาฯ จับมือ 5 องค์กรชั้นนำ
สร้างหลักสูตร Chula LGO
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับ 5 องค์กรชั้นนำ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน), บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผลักดันหลักสูตรควบสองปริญญาโท Chula LGO ด้วยความร่วมมือกับ Massachusetts Institute of Technology (MIT) Leaders for Global Operations เพื่อสร้างผู้นำธุรกิจเชิงนวัตกรรมแห่งอนาคต ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยผู้สนใจสามารถคลิกดูรายละเอียด และสมัครเรียนได้ที่ chulalgo.com ตั้งแต่บัดนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2569
"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยหลักสูตร MBA คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และหลักสูตรนวัตวิศวกรรมเพื่อความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับ MIT สหรัฐอเมริกา ริเริ่มหลักสูตรปริญญาโท Chula LGO เพื่อสร้างชุมชนผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรม ซึ่งรวมเอาความรู้เชิงลึกด้านวิศวกรรม การดำเนินงาน และกรอบความคิดทางธุรกิจ เข้าไว้ด้วยกัน อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนโซลูชั่นส์อุตสาหกรรมที่จะรับมือกับความท้าทายระดับโลก" ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวและว่า
Chula Leaders for Global Operations (Chula LGO) ซึ่งเป็นหลักสูตรควบสองปริญญาโท จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี โดยผู้สำเร็จการศึกษาจะได้รับปริญญา วท.ม. สาขานวัตวิศวกรรมเพื่อความยั่งยืน (Master of Science in Innovative Engineering for Sustainability) และ บธ.ม. สาขาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (Master of Business Administration) พร้อมด้วยประกาศนียบัตร MIT LGO เพื่อเร่งสร้างผู้นำรุ่นใหม่เปี่ยมด้วยทักษะและศักยภาพทัดเทียมนานาชาติ อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลกแห่งอนาคต และสร้างเศรษฐกิจประเทศชาติอย่างยั่งยืน จุฬาฯ เปิดหลักสูตรได้อย่างแข็งแกร่งขึ้น เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจาก 5 พันธมิตร ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งหลักสูตร จึงเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่จะสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ทักษะ ทั้งด้านวิศวกรรม การบริหาร และนวัตกรรม หลักสูตรนี้จะจำกัดนักเรียนรุ่นละ 40 คน โดยจะเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และมีประสบการณ์การทำงานทเกี่ยวข้องในสาขา STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษ โดยพิจารณาคะแนนจากการทดสอบวัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษา ได้แก่ CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency), TOEFL IBT, TOEFL ITP, IELTS (Academic)

Go To Lead


'51Talk' ยกระดับศักยภาพเด็กไทยสู่เวทีระดับโลก
51Talk (ไฟฟ์วันทอล์ก) แอปเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับเด็กระดับโลก ประสบการณ์มากกว่า 14 ปี มีนักเรียนทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ เดินหน้ายกระดับศักยภาพเด็กไทยสู่เวทีระดับโลกอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการพาตัวแทนเด็กไทยร่วมภารกิจสำคัญ ณ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (the United Nations Climate Change Conference) หรือ COP30 ระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2568 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ซึ่งถือเป็นเวทีที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรี นักเจรจา นักเคลื่อนไหว และตัวแทนเด็กจากทั่วโลก เพื่อระดมความคิดและกำหนดแนวทางรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกที่ยั่งยืน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ 51Talk ในการสร้างโอกาสให้เด็กไทยใช้ “พลังแห่งภาษาและความหวัง” เปล่งเสียงเพื่ออนาคตและการเปลี่ยนแปลงที่ดีของโลกใบนี้
51Talk มีบทบาทสำคัญในการยกระดับศักยภาพเด็กไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ผ่านการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจและสร้างสรรค์ ด้วยแอปเรียนออนไลน์แบบตัวต่อตัวกับครูชาวต่างชาติหรือครูเจ้าของภาษาที่ได้รับการรับรอง และหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ กล้าแสดงออกและการคิดเชิงสากล ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้แสดงศักยภาพในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง 51Talk จึงได้จัดโครงการ “Green Talk เปล่งเสียงแห่งความหวัง สร้างอนาคตสีเขียวบนเวที UN” ซึ่งเป็นเวทีประกวดสุนทรพจน์เพื่อคัดเลือกเด็กไทยร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) โครงการนี้ไม่เพียงสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและนำเสนอทางออกเชิงสร้างสรรค์เพื่อโลกที่ยั่งยืนอีกด้วย
เอมิลี่ หลี่ ผู้จัดการทั่วไป 51Talk Thailand กล่าวว่า “ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนถึง พันธกิจระยะยาวของ 51Talk ในการสร้างเด็กไทยรุ่นใหม่ ส่งเสริมให้เรียนรู้ เติบโต และเป็นผู้นำแห่งอนาคตบนเวทีโลก ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ภาษาอังกฤษ” คือกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ และเป็นพลังขับเคลื่อนเยาวชนให้กลายเป็น “เสียงแห่งความหวัง” ของโลกใบนี้

Go To Lead


APCO ชูโมเดล BIM Advisor
เร่งปั๊มยอดในประเทศ
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในไตรมาส 4/68 มุ่งขยายฐานผู้ใช้ในประเทศผ่านโมเดล “BIM Advisor” ซึ่งเป็นช่องทางการตลาดหลัก โดยเปิดโอกาสให้ที่ปรึกษาด้านสุขภาพที่มีทั้งองค์ความรู้และประสบการณ์ใช้ผลิตภัณฑ์จริง เข้ามาเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดช่วยให้ผู้บริโภคได้รับคำแนะนำที่ตรงจุดและเห็นผลได้ชัดเจน เป็นการสร้างเครือข่ายสุขภาพของ APCO อย่างแท้จริง APCO เชื่อมั่นว่าการขยายตลาดผ่านช่องทางดังกล่าวมีศักยภาพในการผลักดันยอดขายให้เติบโต โดยปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 300 คน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 350-400 คน ภายในปี 2568 ก่อนขยายเป้าหมายสมาชิกเป็น 1,000 คน ในปี 2569 และ 2,000 คน ในปี 2570
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งปรับการรับรู้แนวทางการดูแลสุขภาพแบบใหม่ ผ่าน 2 ผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ คือ “Cancino” เน้นการป้องกันมะเร็ง-ย้อนวัย ด้วยการกระตุ้นสเต็มเซลล์เพื่อลดการติดเชื้อพร้อมสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล และ “mylife100” ที่ย้อนวัยได้และช่วยยับยั้งเชื้อมะเร็งแก่คนที่เคยเป็นมะเร็งมาก่อนไม่ให้กลับมาเป็นใหม่ เนื่องจากปัจจุบันการย้อนวัยเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ และโรคมะเร็งยังเป็นปัญหาสุขภาพที่มีเพิ่มขึ้นทุกปี บริษัทจึงเลือกผลิตภัณฑ์เหล่านี้เจาะตลาดแมส พร้อมทำโปรโมชันส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มความพร้อมในการตัดสินใจซื้อ และคาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่ผลักดันยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการ “ByeByeHIV” ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย มีการเผยแพร่รายงานผู้ป่วยปลอดเชื้อครบ 100 ราย ในวารสาร Clinical Immunology & Research ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ “LIV” สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากทั่วโลก และยังเป็นโอกาสสำคัญในการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย APCO ยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ บริษัทมุ่งผลักดันแนวทางการดูแลสุขภาพเชิงลึกรูปแบบใหม่ เน้นการป้องกันผ่านการกระตุ้นสเต็มเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล เพื่อช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างเป็นระบบ มั่นใจว่าปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตใกล้เคียงปีก่อน แม้ปีนี้จะเผชิญสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าปีที่ผ่านมา

Go To Lead


ไทยเข้าใกล้เป้ายุติเอดส์ 95-95-95
ผศ.พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศเร่งลดผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างยั่งยืน สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยจึงเน้นย้ำแนวทาง “ตรวจให้รู้ – ป้องกันให้ทัน – รักษาให้ถึง” พร้อมเสริมความเข้าใจเรื่องการป้องกันเชิงรุกด้วย “ตรวจเอชไอวี–ใช้ถุงยาง–เพร็พ–เพ็พ” เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระดับโลก “95-95-95” ในการยุติเอดส์ภายในปี 2573 แม้ประเทศไทยเดินหน้าควบคุมสถานการณ์เอชไอวีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเอดส์มากกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ และ ‘ผู้ติดเชื้อจำนวนมากยังไม่รู้สถานะของตนเอง’ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและชายรักชายยังเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ
เครื่องมือสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงผู้ติดเชื้อรายใหม่ คือการเข้าถึงการป้องกันด้วย ‘เพร็พ’ (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ซึ่งมีแบบรับประทานทุกวัน (Daily) แบบเฉพาะกิจ (On-Demand) และแบบฉีดทุก 2 เดือน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่เพิ่มความต่อเนื่องในการป้องกันสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานยาเป็นประจำ และยังลดความกังวลต่อการถูกมองในแง่ลบจากสังคม เนื่องจากไม่ต้องพกหรือรับประทานยาต่อหน้าผู้อื่น เมื่อใช้ร่วมกับ ‘ถุงยาง’ ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ ‘เพ็พ’ (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) หรือยาต้านไวรัสฉุกเฉินหลังเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ลดโอกาสการติดเชื้อได้ คนไทยสามารถเข้าถึงยาได้ที่โรงพยาบาลหรือคลีนิคเอชไอวีทั่วประเทศ โดยสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ข้อมูลกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ปี 2567 ระบุว่า ผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 565,598 คน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8,124 คนต่อปี ผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิต 9,067 คน แม้ประเทศไทยประสบความสำเร็จใน “95% แรก” ผู้ติดเชื้อที่รู้สถานะของตนเอง และ “95% ที่สาม” ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาสม่ำเสมอ และมีปริมาณไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบเชื้อ แต่อุปสรรคสำคัญคือ “95% ที่สอง” ผู้ติดเชื้อที่รู้สถานะของตนเองแต่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

Go To Lead


'กรมอนามัย' เฝ้าระวังสุขภาพ
ตรวจคลอรีน โรยปูนขาว ป้องกันกลิ่น-เชื้อโรค
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่และสนับสนุนการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมหาดใหญ่ของทีม SEhRT กรมอนามัย ระหว่าง วันที่ 29 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2568 กระจายลงพื้นที่ กว่า 20 ชุมชน รวมกว่า 1200 หลังคาเรือน สิ่งที่พบ คือ น้ำประปาบางจุดยังไหลอ่อน และเฝ้าระวังคลอรีนในน้ำประปาไม่พบคลอรีนตกค้าง เช่น ชุมชนริมทางรถไฟหาดใหญ่ คลองเตย และชุมชนรอบสนามกีฬาจิระนคร น้ำประปาไหลอ่อนหรือไม่ไหล และตรวจไม่พบคลอรีนตกค้างต่ำกว่าเกณฑ์ 0.2 mg/L พบปริมาณขยะจำนวนมาก และบางพื้นที่ยังมีน้ำขังและซากสัตว์เน่าเปื่อย ซึ่งอาจเป็นแหล่งเพาะโรคหลังน้ำท่วมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
กรมอนามัยจึงเร่งแก้ไขคุณภาพน้ำ จัดการขยะในชุมชน และใหเคำแนะนำประชาชนเกี่ยวกับการใช้น้ำอย่างปลอดภัย ได้แก่ การทำความสะอาดก๊อกและถังเก็บน้ำ ตรวจรอยรั่วซึม ปล่อยน้ำขุ่นทิ้ง และต้มน้ำก่อนบริโภค สำหรับการจัดการขยะ กรมอนามัยได้แนะนำให้แยกขยะอินทรีย์ ซากสัตว์ และเศษอาหาร โดยบรรจุถุงดำ โรยปูนขาว และนำไปพักรอรถเก็บ นอกจากนี้ยังได้โรยปูนขาวในจุดน้ำขังและบริเวณน้ำชะขยะ เพื่อลดกลิ่นและป้องกันการแพร่เชื้อโรค รวมทั้ง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวกลางและครัวอาสา ที่จัดทำอาหารแจกจ่ายประชาชน เพื่อให้การปรุงประกอบเป็นไปตามหลักสุขาภิบาลอาหาร
นอกจากนี้ กรมอนามัยได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มการใช้ EM เพื่อเร่งย่อยสลายขยะและลดกลิ่นประสานงานกับท้องถิ่น และผู้นำชุมชนในการขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยทีม SEhRT พร้อมสนับสนุนด้านวิชาการและสุขาภิบาลอย่างใกล้ชิด สำหรับประชาชน กรมอนามัยได้นำวัสดุและเวชภัณฑ์ลงพื้นที่ รวมถึง ยาสามัญประจำบ้าน ชุดเราสะอาด (V-Clean) ถุงดำ หน้ากากอนามัย คลอรีนเม็ด น้ำยา EM ยาป้องกันโรคฉี่หนู (Doxy) ยาทากัดเท้า และน้ำดื่มบรรจุขวด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหลังน้ำท่วมและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com