|
|
EXIM BANK 'หนุน' ส่งออกไทย Go Inter
EXIM BANK จับมือพันธมิตรจัดงาน SMEs Export Studio Fair 2025 ติดปีกผู้ประกอบการไทยสร้างแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก
นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า งานแฟร์ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสะท้อนความสำเร็จของผู้ประกอบการที่ผ่านการบ่มเพาะในโครงการ SMEs Export Studio ระหว่างปี 2566-2568 รวมถึงการนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากหลักสูตร EXIM 2X รุ่นที่ 1 ปี 2568 ซึ่งได้รับการพัฒนาความรู้ด้านการส่งออกแบบครบวงจร ทั้งการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การสร้างเอกลักษณ์แบรนด์ การวางกลยุทธ์รุกตลาดต่างประเทศ และการยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก หลักสูตรนี้เป็นเวทีสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้ทดลองตลาดจริง ประเมินศักยภาพและความต้องการของผู้บริโภคก่อนขยายสู่เวทีโลก
การจัดงานครั้งนี้เป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบตลาดจริง (Market Testing) ก่อนเดินหน้าสู่การส่งออกเต็มรูปแบบ โดย EXIM BANK ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้แข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง ผ่านโมเดลพัฒนา 2D-2S ได้แก่ Design & Packaging, Digital Transformation, Standards & Sustainability และ Strategic Partnerships พร้อมบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ผ่านหลักสูตร EXIM 2X เพื่อเสริมกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออกไทยในอนาคต
EXIM BANK เดินหน้าบทบาท Export Co-pilot ทำหน้าที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจ ให้การสนับสนุนผู้ส่งออกแบบครบวงจร รวมถึงขยายบทบาทเชิงรุกในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อ (Buyers) ในตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ความรู้ คำปรึกษา และแนวทางเตรียมความพร้อมก่อนบุกตลาดต่างประเทศ ครอบคลุมด้านการตลาด การบริหารความเสี่ยง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ และกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินจากคู่ค้าต่างประเทศ วงเงินคุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท การขับเคลื่อนทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล มุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทย ขยายโอกาสทางการค้า และผลักดันสินค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม
นายดนุพล อำนวยปรีชากุล ผู้บริหาร Lamoon Group ผู้ผลิตและจำหน่ายไอศครีมและผลไม้แช่แข็ง กล่าวว่า จุดเด่นของบริษัทผลิตไอศครีมและผลไม้แช่แข็ง ที่นำวัตถุดิบจากฟาร์มเกษตรกร ไอศครีมหลายรส ทั้งมะม่วง มะพร้าว ช็อคโกแลตและมะเขียง เป็นต้น เราจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ อาทิ จีน สิงคโปร์ มีตัวแทนจำหน่ายส่งออกให้ และขยายไปตลาดนิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ในอนาคต เป็นต้น
ตลาดในประเทศมูลค่า 10-20 ล้านบาท ตลาดส่งออก ประมาณ 6 ล้านบาท ต่อปี ปีเหน้าคาดว่ามูลค่ารวม เติบโต 200 % เนื่องจากบริษัทมีแผนออกบูธงานแฟร์ ต่างประเทศ ทั้งโตเกียว ญี่ปุ่น เมลเบิร์น ออสเตรเลีย เป็นต้น
"เราเป็นบริษัทที่เข้ารับการอบรมจาก EXIM ทำให้เราพัฒนาสินค้าและแพกเกจจิ้ง รวมทั้งตลาดส่งออกด้วย" นายดนุพล กล่าว
Go To Lead
|
ธนาคารกรุงเทพ 'เร่ง'มาตรการช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้ เช่น ลดยอดผ่อนชำระ ขยายเวลาการชำระหนี้ ปลอดการชำระเงินต้นเป็นการชั่วคราว ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน
สนับสนุนสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่เพิ่มเติม เพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้น ซ่อมแซมสถานประกอบกิจการและฟื้นฟูกิจการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ SME ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ เริ่มต้น 3.5% ต่อปี นาน 2 ปี* หลังจากนั้นคิดไม่ต่ำกว่า MLR-1% ต่อปี*ภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up
สำหรับลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ธนาคารได้จัดเตรียมหลากหลายมาตรการเพื่อผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามระดับความรุนแรงที่ได้รับ ประกอบด้วย บัตรเครดิต ปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยค้างชำระขั้นต่ำ (Min Pay) จากอัตราปกติลง 3% เป็นระยะเวลาสูงสุด 6-12 เดือน
ลดดอกเบี้ยค้างชำระสูงสุดไม่เกิน 75% ไม่เกิน 3 รอบบัญชี หรือ สูงสุดไม่เกิน 90 วัน พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ปรับปรุงโครงสร้างหนี้
สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สินเชื่อเงินกู้บัวหลวงสุขใจ ลดอัตราดอกเบี้ยจากอัตราปกติลง 1% หรือพักชำระเงินต้นเป็นระยะเวลาสูงสุด 3-6 เดือน
สินเชื่อหมุนเวียนบัวหลวงอุ่นใจ ลดอัตราดอกเบี้ยจากอัตราปกติลง 1% เป็นระยะเวลาสูงสุด 3-6 เดือน สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันและสินเชื่อส่วนบุคคล ลดยอดผ่อนชำระรายเดือนลงสูงสุด 40% (ชำระดอกเบี้ยทั้งจำนวน และชำระเงินต้นบางส่วน) เป็นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 6-12 เดือน ผ่อนชำระตามเงื่อนไขเดิม และลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% เป็นระยะเวลาสูงสุด 3-6 เดือน พักชำระเงินต้น ยังคงชำระดอกเบี้ยทั้งจำนวน เป็นระยะเวลาสูงสุด 3-6 เดือนพักชำระเงินต้น ยังคงชำระดอกเบี้ยบางส่วน ไม่ต่ำกว่า 70% เป็นระยะเวลาสูงสุด 3 เดือน หรือไม่ต่ำกว่า 50% เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน โดยดอกเบี้ยส่วนที่เหลือจะตั้งพักเอาไว้
ลูกค้าที่จะขอกู้เพิ่มและลูกค้าใหม่ สนับสนุนสินเชื่อเงินกู้บัวหลวงพูนผล (สินเชื่อมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน) ผ่อนได้นานสูงสุดนาน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยพิเศษ MRR-2% (4.65%) ต่อปี และฟรีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกัน** เพื่อนำเงินไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ได้ที่สาขา สำนักธุรกิจ และสายบัตรเครดิต รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bangkokbank.com และคอลเซนเตอร์ธนาคารกรุงเทพ โทร.1333 หรือ 0 2645 5555*สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ย MRR ตามประกาศ ณ วันที่ 14 ส.ค. 68 เท่ากับ 6.65% ต่อปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์และการชำระคืนหนี้และภาระต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มเติม ดูได้ที่เว็บไซต์ธนาคารกรุงเทพ**ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน ขั้นต่ำ 3,000 บาท/แปลง (ไม่รวม VAT) (อัตราค่าบริการ ขึ้นอยู่กับประเภท ขนาด และจำนวนหลักประกัน อ้างอิงตามประกาศธนาคาร) ธนาคารขอเชิญร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย กองทุนบูรณะฟื้นฟูอุบัติภัย มูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยสแกนเพื่อบริจาค หรือ บริจาคผ่านบัญชี มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย" บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาสำนักงานใหญ่สีลม เลขที่ 101-3-48488-4
*หากโอนผ่านเลขที่บัญชีและประสงค์ลดหย่อน 1 เท่า กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงิน พร้อมเขียนชื่อ-ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และเลขบัตรประชาชน เพื่อขอรับใบเสร็จรับเงินได้ที่ Line ID : @friendsofpa สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2054-6546
มูลนิธิชัยพัฒนา ชื่อบัญชี "กองทุนบูรณะฟื้นฟูอุบัติภัย" บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เลขที่ 909-3-00509-9*หากโอนผ่านเลขที่บัญชีและประสงค์ลดหย่อน 2 เท่า กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงิน พร้อมเขียนชื่อ-ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และเลขบัตรประชาชน เพื่อขอรับใบเสร็จรับเงินได้ที่ e-mail : givedonate@gmail.com หรือ Line ID : @chaipat19 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการเงิน โทร. 0-2447-8585-8 ต่อ 103 ในวันและเวลาทำการ
มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ชื่อบัญชี "มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์"บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 641-0-15655-5 *หากโอนผ่านเลขที่บัญชีและประสงค์ลดหย่อน 2 เท่า กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงิน พร้อมเขียนชื่อ-ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และเลขบัตรประชาชน เพื่อขอรับใบเสร็จรับเงินได้ที่ Line ID : @shf.psu
Go To Lead
|
EXIM BANK 'หนุน' ส่งออกไทย Go Inter
ธ.ก.ส. -GIZ สร้างศักยภาพให้เกษตรกรและลูกค้า หลักสูตรฝึกอบรมการเงิน
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายเกรียงไกร กัลหะรัตน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นส่วนสำคัญของความเสี่ยง ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยถือวาระของธนาคารกลางทั่วโลกและเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือและองค์ความรู้ทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศซึ่ง ธ.ก.ส. ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ผ่านการดำเนินงานโดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ ของเยอรมัน (GIZ) ภายใต้โครงการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตรในภูมิภาคอาเซียน (Innovative Climate Risk Financing for the Agricultural Sector in the ASEAN Region: AgriCRF) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยมีศักยภาพในการบริหารจัดการทางการเงินและสามารถปรับตัวต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืน โดย ธ.ก.ส. และ GIZ มีแผนการขยายผลการนำหลักสูตรฝึกอบรมทางการเงิน เพื่อการรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปต่อยอดในการดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพ เช่น การปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Strengthening Climate - Smart Rice Farming Project: Thai Rice GCF) พร้อมกันนี้จะมีการขยายผลการนำเครื่องมือ ESG Risk Radar ใช้ในการประเมินความเสี่ยงก่อนการให้สินเชื่อภายใต้โครงการ Thai Rice GCF เพื่อเป็นมาตรการลดความเสี่ยงลูกค้าธนาคารและเสริมสร้างการบริหารความเสี่ยงอย่างยั่งยืน
ทางด้าน ดร. ทีโม เมนนิเคน ผู้อำนวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า GIZ มุ่งส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งภาคเศรษฐกิจ และภาคการเกษตรด้วยการเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมและสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะภาคการเกษตรซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญเกษตรกรไทย
มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านอาหารและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามเกษตรกรกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นตามลำดับส่งผลกระทบต่อผลผลิตรายได้และคุณภาพชีวิต ดังนั้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง GIZ ธ.ก.ส. และภาคีเครือข่าย ในโครงการต่าง ๆ จะช่วยเสริมสร้างทักษะและองค์ความรู้ทางการเงินให้กับเกษตรกร พร้อมกับเสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืนต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ BAAC Call Center : 02 555 5555
หรือ www.baac.or.th
Go To Lead
|
กสิกรไทย 'รุก' อินโดฯ เพิ่มหุ้นแบงก์แมสเปี้ยน 89.48%
ตอกย้ำบทบาทธนาคารระดับภูมิภาค
นายชัช เหลืองอาภา รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน มูลค่า GDP กว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สูงที่สุดในภูมิภาค รวมกว่า 202.2 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 12.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแรงหนุนของการบริโภคภายในประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ สนามบิน และระบบดิจิทัล รวมถึงนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์อย่างมีนัยสำคัญ อินโดนีเซียยังเป็นเป้าหมายหลักของกลยุทธ์ China+1 ที่บริษัทต่างชาติใช้ในการกระจายฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน สะท้อนถึงศักยภาพด้านกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว
สำหรับการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารแมสเปี้ยน อินโดนีเซีย (PT Bank Maspion Indonesia: Bank Maspion) เป็น 89.48% ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจต่างประเทศ แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้างเครือข่ายทางการเงินระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยพัฒนาโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจข้ามพรมแดน ควบคู่ไปกับการเดินหน้ากลยุทธ์พันธมิตรเพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้าธุรกิจในกลุ่ม AEC+3 ตลอดจนการสร้างโอกาสใหม่ในการขยายตลาดและเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง
การขยายธุรกิจในต่างประเทศด้วยกลยุทธ์ A Regional Bank of Choice โดยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารแมสเปี้ยน อินโดนีเซีย มุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าธุรกิจองค์กรและลูกค้าธุรกิจขนาดกลางที่มีศักยภาพสูงทั้งในไทยและอินโดนีเซีย ประกอบด้วย 1) Product Strategy การพัฒนาโซลูชันทางการเงินผสานทั้งกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจข้ามพรมแดนแบบครบวงจร เช่น สินเชื่อธุรกิจ การบริหารเงินสด พร้อมดูแลการเงินห่วงโซ่อุปทาน บริการด้าน Trade Finance และ Syndicated Loans ที่ช่วยเสริมสภาพคล่องและขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้าองค์กร อีกทั้งยังมีการให้บริการโอนเงินไปยังประเทศอินโดนีเซียใน 3 สกุลเงิน ได้แก่ IDR, USD และ THB ครอบคลุมทั้งลูกค้าธุรกิจและบุคคลทั่วไป ด้วยระบบที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ 2) Partnership Strategy กลยุทธ์ด้านพันธมิตรด้วยเครือข่ายในกลุ่ม AEC+3 ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน รวมถึงสำนักงานตัวแทนในเมียนมา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายตลาดและสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
นายชัช กล่าวในตอนท้ายว่า การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในเส้นทางการเติบโตของ ธนาคารซึ่งตอกย้ำบทบาทในฐานะสถาบันการเงินระดับภูมิภาคที่เป็นที่ไว้วางใจ เพื่อก้าวสู่การเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางการเงินอย่างยั่งยืน
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|