Finance/share
Hot News: กรุงศรี เดินหน้า'ฟินเทค'
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
กรุงศรี เดินหน้า'ฟินเทค'
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต่อยอดนวัตกรรมการเงินดิจิทัล ทดสอบ THBC ในโครงการ Programmable Payment ภายใต้ Enhanced Regulatory Sandbox ผู้ให้บริการกลุ่มแรกของประเทศไทยที่นำ Programmable Payment มาใช้ทดสอบในภาคปฏิบัติจริง
นางสาวสายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีมุ่งมั่นผลักดันโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล การเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา Digital Finance Ecosystem ของไทย สะท้อนถึงความพร้อมของภาคธนาคารไทยในการรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเงินยุคใหม่ อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน”
“การร่วมทดสอบนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงแนวคิด Human-Centric Innovations ของกรุงศรี ในการนำนวัตกรรมมาใช้ แก้ปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์บน Social Commerce ช่วยให้ผู้ซื้อไม่เสี่ยงโดนโกง ได้รับสินค้าที่ตรงกับคำสั่งซื้อ และช่วยให้ผู้ขายมีช่องทางขายของตัวเองที่มีความน่าเชื่อถือ ช่วยลดการพึ่งพาช่องทาง Market Place ที่มีค่า GP สูง” นางสาวสายสุนีย์ กล่าว
THBC เป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยธนาคารกรุงศรี ภายใต้กรอบการทดสอบ Enhanced Regulatory Sandbox มีมูลค่าคงที่ เทียบเท่าเงินบาทในอัตรา 1:1 (1 THBC มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท) โดยมีการถือครองเงินบาทจริงเป็นสินทรัพย์รองรับ 100% ใช้เทคโนโลยี Smart Contract เพื่อกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินอัตโนมัติ และสร้างอยู่บนระบบ Blockchain เพื่อรองรับการทำธุรกรรมดิจิทัลอย่างปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้
ในเฟสการทดสอบนี้ กรุงศรีได้สร้าง (Mint) THBC 2 ล้านเหรียญใน Ecosystem ด้วยมาตรฐาน ERC-20 โดย ใช้ Smart Contract และเชื่อมต่อกับ Logistic Service เพื่อนำมาทดลองใช้ในรูปแบบของ Secure Payment สำหรับการซื้อขายสินค้าออนไลน์บนช่องทาง Social Commerce ต่างๆ เช่น Facebook Line Instagram โดย ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถโอนและรับชำระเงินด้วย THBC ผ่านแอปพลิเคชัน Krungsri Coin ซึ่งกรุงศรีพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการทดสอบดังกล่าวนี้ ในกระบวนการทดสอบนี้ ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายสินค้าออนไลน์ตามกระบวนการปกติทั่วไป
แต่ขั้นตอนการชำระเงินค่าสินค้าจะทำการชำระเงินด้วยเหรียญ THBC โอนผ่านแอป Krungsri Coin โดยเหรียญจะถูกโอนให้กับผู้ขายต่อเมื่อผู้ซื้อได้รับสินค้าและตรวจสอบว่าสินค้านั้นตรงตามที่ตกลงไว้แล้วเท่านั้น กลไกนี้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย ลดความเสี่ยงการฉ้อโกงในโลกออนไลน์ และยกระดับประสบการณ์การซื้อขายให้โปร่งใสและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเปิดรับผู้ร่วมทดสอบในวงจำกัดทั้งผู้ซื้อและร้านค้าออนไลน์กว่า 400 ราย ระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2568 และยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไปนอกกรอบการทดสอบในขณะนี้
ในอนาคต กรุงศรีมีแผนในการแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทดสอบการใช้งาน THBC ภายใต้กรอบการทดสอบ Enhanced Regulatory Sandbox เพื่อให้มั่นใจถึงศักยภาพการใช้งานทั้งกับภาคประชาชนและภาคธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพลิกโฉมระบบการชำระเงินของไทยให้มีความทันสมัย ปลอดภัย ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง

Go To Lead


KBank- แสนสิริ - EGAT – INNOPOWER - ION
'หนุน'ลูกบ้านสร้างรายได้จากโซลาร์ ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass
ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดของประเทศ โดยธนาคารกสิกรไทยมุ่งสนับสนุนให้ลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการ SME เข้าถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมต่อยอดคุณค่าเพิ่มผ่านการขึ้นทะเบียนและจำหน่าย Renewable Energy Certificate (REC) บนแพลตฟอร์ม GreenPass ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ผู้ติดตั้ง แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงภาคประชาชนเข้าสู่ตลาดพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับตลาด REC ของประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถจัดซื้อ REC จากกลุ่มผู้ติดตั้งโซลาร์ขนาดเล็ก เพื่อนำไปใช้ในการลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้า (Scope 2 : Indirect Emission) จากเดิมที่ REC ส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นับเป็นการกระจายโอกาสและสิทธิประโยชน์ด้านพลังงานสะอาดสู่ทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง ตามเจตนารมณ์ของธนาคารกสิกรไทยในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับสังคม เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริและพันธมิตรร่วมกันอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านสามารถขึ้นทะเบียน REC ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass ได้ โดยบริษัทมีแผนจะสนับสนุนการซื้อ REC จากลูกบ้านเป็นรายแรกของประเทศ เพื่อนำมาลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 2 ขององค์กร (Scope 2) และสร้าง 'ระบบนิเวศแห่งความยั่งยืน' ที่แท้จริง ปัจจุบันแสนสิริได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กับลูกบ้านไปแล้วกว่า 3,200 หลัง และขยายไปยังคลับเฮ้าส์และโรงงานรวมกว่า 112 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 9.7 ล้าน kWh/ปี ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,826 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี พร้อมกันนี้แสนสิริและ ION ได้มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้าน โดยจำนวนเงินที่ลูกบ้านได้จากการขายสามารถนำมาแลกรับส่วนลดในการทำความสะอาดแผ่นโซลาร์ได้ในราคาพิเศษ โดยทุก ๆ 200 บาท สามารถแลกรับบัตรกำนัลส่วนลดทำความสะอาดแผ่นโซลาร์ได้มูลค่า 500 บาท
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความพร้อมของ EGAT ในฐานะผู้นำด้านพลังงานของประเทศ ที่มุ่งมั่นในการเป็นกลไกสำคัญเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ตามวาระแห่งชาติ โดยมุ่งสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดย EGAT ในฐานะหน่วยงานผู้รับรอง REC ของประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานสากลของ The I-TRACK Foundation ยังคงให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจด้านพลังงานหมุนเวียนสู่ประชาชนทุกกลุ่ม EGAT มุ่งพัฒนาและขยายกลไกตลาด REC ให้เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ติดตั้งโซลาร์ขนาดเล็ก ลูกค้ารายย่อย และผู้ประกอบการ SME สามารถขึ้นทะเบียนและขาย REC ได้อย่างสะดวก และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศอย่างแท้จริง โดยความร่วมมือครั้งนี้ยังตอกย้ำถึงความพร้อมของ EGAT Group ในการเป็นผู้นำด้าน Decarbonization Solutions ที่พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการครบวงจรเพื่อสนับสนุนทุกภาคส่วนของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม โดย EGAT Group จะเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ควบคู่กับการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า อินโนพาวเวอร์มีความยินดีที่ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการต่อยอดแพลตฟอร์ม GreenPass สู่ภาคครัวเรือนตามโครงการหมู่บ้าน ช่วยให้ลูกบ้านแสนสิริที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป สามารถสร้างรายได้จากการขายใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) ควบคู่กับการช่วยลดค่าไฟฟ้า ในฐานะผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดในเครือของ กฟผ. ทางอินโนพาวเวอร์มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดของประเทศ ความร่วมมือกับ KBank – EGAT – แสนสิริ – ION ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ 'พลังงานแสงอาทิตย์จากภาคครัวเรือน' เข้าสู่ตลาดพลังงานหมุนเวียนได้อย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก ผ่านการลงทะเบียนบนแพลตฟอร์ม GreenPass ร่วมกับระบบแพลตฟอร์ม REC Aggregator ของอินโนพาวเวอร์ ซึ่งออกแบบให้การขึ้นทะเบียน รับรอง และซื้อขาย REC เป็นเรื่องง่ายขึ้นและโปร่งใส โดยใช้ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ตามมาตรฐานสากล I-TRACK (เดิม I-REC Standard) ช่วยผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยเข้าถึงตลาดซื้อขาย REC ได้อย่างเป็นระบบ จากเดิมที่การขึ้นทะเบียนสำหรับรายย่อยนั้นมีความซับซ้อน อินโนพาวเวอร์เชื่อมั่นว่าพลังงานสะอาดจากภาคประชาชนจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ในอนาคต
นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ION ENERGY) กล่าวว่า ในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดของแสนสิริ เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและศูนย์กลางการบริหารจัดการข้อมูล พลังงานโซลาร์ของลูกบ้าน เพื่อรวบรวม ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูลการผลิตไฟฟ้าก่อนส่งต่อเข้าสู่ GreenPass นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิพิเศษในการนำเงินที่ได้จากการขาย REC ไปแลกรับส่วนลดพิเศษในการทำความสะอาดแผ่นโซลาร์อีกด้วย ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำถึงความพร้อมของทุกภาคส่วนในการร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน ความร่วมมือนี้ นับเป็นอีกก้าวที่สำคัญที่จะช่วยเร่งผลักดันเป้าหมายการสนับสนุนให้ภาคประชาชนและ SME เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ผ่านกลไกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ได้จากการขึ้นทะเบียนและขาย REC ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero

Go To Lead


ธ.ก.ส. ร่วมแสดงความอาลัย
และสดุดีวีรชนผู้เสียสละชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา
พร้อมยกหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทุกสัญญาเงินกู้
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นายวุฒิพงศ์ เกษสัญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ธ.ก.ส. พร้อมผู้บริหารสำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นผู้แทน ธ.ก.ส. ร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวทหารผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนประเทศไทย - กัมพูชา พร้อมทั้งสดุดีและแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณทหารกล้า จ.ส.อ. ศตวรรษ สุจริต ในความเสียสละอันยิ่งใหญ่ จากการปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์ลูกค้า ธ.ก.ส. และเป็นการลดภาระเพื่อให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง ธ.ก.ส. ได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้า กรณีทหาร หรือตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. รวมถึงให้ความช่วยเหลือแก่บิดา มารดา หรือคู่สมรสที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ของวีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ
ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ธ.ก.ส. พร้อมอยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ call center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง

Go To Lead


ออมสิน รับลูกมติ กนง. ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท สูงสุด 0.25% ต่อปี
สนับสนุนนโยบายลดค่าครองชีพเป็นของขวัญปีใหม่ ด้านเงินฝากยังตรึงอัตราดอกเบี้ยเดิม
นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปี 2569 และต่อเนื่องในปี 2570 มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทสูงสุด 0.25% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราลดดอกเบี้ยสูงสุดตามมติ กนง. เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกค้าของธนาคาร โดยอัตราดอกเบี้ย MOR ลดลง 0.25% ต่อปี MLR ลดลง 0.15% ต่อปี และ MRR ลดลง 0.10% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 5.845% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.175% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.195% ต่อปี โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MOR/MLR/MRR) ยังคงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเดิมเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ฝากเงินตามภารกิจส่งเสริมการออมของธนาคาร

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com