Greennist
Hot News: โครงการปรับปรุงคลองส่งน้ำ ท่ามะกา ระยะ 5 ช่วยเกษตรกร 40 ครัวเรือน ผลผลิตและรายได้เพิ่มร
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English

โครงการปรับปรุงคลองส่งน้ำ ท่ามะกา ระยะ 5
ช่วยเกษตรกร 40 ครัวเรือน ผลผลิตและรายได้เพิ่ม
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการติดตามโครงการจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรม งานปรับปรุงพื้นที่จัดรูปที่ดินโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา (ระยะที่ 5) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำจากคลองส่งน้ำชลประทานให้สามารถแพร่กระจายน้ำในไร่นาได้ทั่วถึงทุกแปลงเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรได้รับน้ำตามปริมาณและช่วงเวลาที่ต้องการอย่างเป็นระบบ และลดความขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำ โดยมีสำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 27 เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก กำหนดเป้าหมายดำเนินการพื้นที่ 1,000 ไร่ มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 และดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 จากการลงพื้นที่ติดตามโครงการฯ ของ สศก. โดย ศูนย์ประเมินผล ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่จัดรูปที่ดิน ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พบว่า พื้นที่โครงการมีการจัดรูปที่ดินแบบกึ่งสมบูรณ์แบบ (Extensive) ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้คูส่งน้ำของโครงการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ดังนั้น สำนักงานจัดรูปที่ดินและจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ 27 จึงได้มีการปรับปรุงคลองส่งน้ำเป็นระยะที่ 5 โดยการก่อสร้างคูส่งน้ำด้วยวิธีการถมดินอัดแน่นใหม่ ขุดคูส่งน้ำ และบดอัดหินคลุก จากนั้นดาดคอนกรีต ความยาว 10,045 เมตร พร้อมก่อสร้างอาคารประกอบสำหรับใช้เป็นประตู เปิด - ปิด ระบบส่งน้ำในพื้นที่ และบานระบายน้ำตลอดสาย จำนวน 76 จุด
การปรับปรุงคลองส่งน้ำดังกล่าวทำให้เกษตรกรใช้น้ำในการปลูกข้าวนาปีและนาปรังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่โครงการ ซึ่งรวมกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำหวายเหนียวร่วมใจพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 1,000 ไร่ เกษตรกร 40 ครัวเรือน ได้รับผลผลิตและมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น โดยผลผลิต ข้าวนาปีเพิ่มขึ้นจากเดิมไร่ละ 862.32 กิโลกรัม เพิ่มเป็นไร่ละ 919.92 กิโลกรัม (เพิ่มขึ้นไร่ละ 57.60 กิโลกรัม หรือ ร้อยละ 6.68) ผลผลิตข้าวนาปรัง จากเดิมไร่ละ 852.55 กิโลกรัม เพิ่มเป็นไร่ละ 855.92 กิโลกรัม (เพิ่มขึ้นไร่ละ 3.37 กิโลกรัม หรือร้อยละ 0.40) ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิ (กำไร) จากการจำหน่ายข้าวนาปี จากเดิม 2,631.15 บาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มเป็น 3,338.22 บาทต่อไร่ต่อปี (เพิ่มขึ้น 707.07 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ ร้อยละ 26.87) และมีรายได้สุทธิจากการจำหน่ายข้าวนาปรัง จากเดิม 1,675.51 บาทต่อไร่ต่อปี เพิ่มเป็น 1,840.56 บาทต่อไร่ต่อปี (เพิ่มขึ้น 165.05 บาทต่อไร่ต่อปี หรือ ร้อยละ 9.85) นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำในพื้นที่ได้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกษตรกรในพื้นที่ควรมีการจัดประชุมกลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับแผนการจัดสรรน้ำได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกกลุ่มเกษตรกรต่อไป

Go To Lead


ชู ‘บ้านสวนครูแหม่ม’ จ.นครศรีธรรมราช
แหล่งเรียนรู้ท่องเที่ยวเกษตรอินทรีย์ ครบวงจร
นายนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 สุราษฎ์ธานี (สศท.8) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศท.8 ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ปี 2568 ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อศึกษารูปแบบและแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งส่งเสริมระบบการผลิตที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่การผลิต ยกระดับมาตรฐานและคุณภาพผลผลิต พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการแปรรูปและเชื่อมโยงตลาด โดยเฉพาะการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ที่หลากหลายแก่เกษตรกร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
จากการลงพื้นที่ของ สศท.8 พบว่า บ้านสวนครูแหม่ม ตั้งอยู่ในบ้านทุ่งใน ตำบลนบพิตำ อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ดำเนินการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 โดยมีความโดดเด่นในการบูรณาการองค์ความรู้ท้องถิ่นกับนวัตกรรมสมัยใหม่พร้อมถ่ายทอดสู่ครัวเรือน ชุมชน และเครือข่ายอย่างกว้างขวาง โดยเน้นการเชื่อมโยงแนวคิด “เกษตร แปรรูป ท่องเที่ยว” อย่างสมดุล โดยมีนางสาวศิริรัตน์ พุมดวง (ครูแหม่ม) เป็นผู้ก่อตั้ง มีพื้นที่สวนรวมทั้งหมด 60 ไร่ ปัจจุบันดำเนินการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ คือ ผักเหลียง บนพื้นที่ 13 ไร่ ภายใต้แนวคิด “สวนผักเหลียงอินทรีย์ในสวนยางพารา” ที่ผสมผสานวิถีเกษตรแบบดั้งเดิมเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้และแนวคิดเกษตรรักษ์สุขภาพ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ (Organic Thailand) และอยู่ในระหว่างการดำเนินการขอรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) เพื่อยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของสินค้า นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลแปลงเกษตรพืชอินทรีย์ดีเด่น ประจำปี 2563 สำหรับผักเหลียงปลูกเพียงครั้งเดียว แล้วสามารถเก็บเกี่ยวใบได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เริ่มเก็บเกี่ยวประมาณ 6 – 8 เดือนหลังปลูก ได้ผลผลิตประมาณ 3,600 กิโลกรัม/ปี โดยแบ่งจำหน่ายแบบใบสด ร้อยละ 50 จำหน่ายในราคา 100 บาท/กิโลกรัม และนำไปแปรรูป ร้อยละ 50
บ้านสวนครูแหม่ม ได้มีการพัฒนาและแปรรูปใบเหลียงสู่ผลิตภัณฑ์หลากหลาย ได้แก่ ข้าวเกรียบใบเหลียง ราคา 59 บาท/กระปุก ผงโรยข้าวใบเหลียง (ใบเหลียงผง) ราคา 150 บาท/ขวด ชาใบเหลียง ราคา 150 บาท/กล่อง สบู่ใบเหลียง ราคา 100 บาท/ก้อน ผงขัดหน้าใบเหลียงสมุนไพร ราคา 59 บาท/กระปุก และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจากสมุนไพรพื้นบ้านบรรจุภัณฑ์ทุกชิ้นออกแบบอย่างประณีตเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้แก่ กิจกรรม Workshop การปลูกผักอินทรีย์และการแปรรูปสมุนไพร การสาธิตผ้ามัดย้อม การทำอาหารพื้นถิ่น และกิจกรรมสปาทราย ซึ่งพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคณะศึกษาดูงานและนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งนี้ รายได้จากการผลิตผักเหลียงและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 720,000 บาท/ปี หรือคิดเป็นกำไร 120,000 บาท/ปี ด้านสถานการณ์ตลาด มีการจัดจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์ ณ บ้านสวนครูแหม่ม และเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต้นน้ำกลาย ร้อยละ 30 จำหน่ายผ่านกิจกรรมในชุมชน ร้อยละ 30 จำหน่ายเครือข่ายท่องเที่ยวเชิงเกษตรอื่น ๆ ร้อยละ 30 จำหน่ายผ่านหน้าร้านภายในฟาร์มบ้านสวนครูแหม่ม ร้อยละ 25 จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ Line และ Facebook : บ้านสวนครูแหม่ม ร้อยละ 10 และเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (ออกบูธ) ในระดับจังหวัด ร้อยละ 5 ทั้งนี้ บ้านสวนครูแหม่มยังมีกิจกรรมเชื่อมโยงชุมชนภายในจังหวัด ได้แก่ Workshop และแบ่งฐานเรียนรู้การเชื่อมโยงในลักษณะเกื้อกูลกับเครือข่ายในชุมชน โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าศึกษาดูงาน ประมาณ 2,500 – 3,000 คน/ปี
“แนวทางพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตรควรส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์รวมทั้งยกระดับเพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เน้นการประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายทั้งในและนอกจังหวัด และพัฒนาทักษะความรู้การใช้เทคโนโลยีและด้านการตลาดร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สศท.8 ขอเชิญชวนผู้สนใจท่องเที่ยววิถีเกษตรอินทรีย์ผสมผสานสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงท่องเที่ยวที่บ้านสวนครูแหม่ม มาร่วมเรียนรู้การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ด้วยเกษตรอินทรีย์ผสมผสาน เพิ่มคุณค่าด้วยมิติของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร สามารถติดต่อได้ที่นางสาวศิริรัตน์ พุมดวง (ครูแหม่ม) ผู้ก่อตั้งสวนครูแหม่ม โทร. 09 2569 4896 Facebook : บ้านสวนครูแหม่ม หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ สศท.8 โทร. 0 7731 1641 อีเมล zone8@oae.go.th” ผู้อำนวยการ สศท.8 กล่าวทิ้งท้าย

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com