|
|
EXIM BANK 'แนะ' ผู้ส่งออก 'รุก'ตลาดใหม่
EXIM BANK 'แนะ' ผู้ส่งออก เปิดตลาดใหม่ ประเมินแนวโน้มส่งออกไทยปี 69 ขยายตัว 0-2% พร้อมเดินหน้าบทบาท Export Co-pilot เคียงข้าง ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก
นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับปัญหาภาษีทรัมป์ การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา น้ำท่วม และESG เป็นต้น ดังนั้น ผู้ส่งออกต้องลดค่าใช้จ่าย ประหยัด มองหาตลาดใหม่มาทดแทน อาทิ ตลาดจีนตอนกลาง สหรัฐอเมริกาตอนกลาง ซึ่งเรายังมีโอกาสที่จะขยายตลาดเหล่านี้
สำหรับปีนี้การส่งออกกลับมาเติบโตในระดับสูงและเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 10% อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างพบว่า ภาคการส่งออกไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องความไม่สมดุลระหว่าง จำนวนผู้ส่งออก กับ มูลค่าส่งออก จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ไทยที่แม้มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 10% ของมูลค่าส่งออกรวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีอยู่ราว 20% กลับครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกกว่า 90%
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างสินเชื่อธุรกิจในระบบยังพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ครองสัดส่วนสินเชื่อเกือบ 70% ขณะที่ SMEs มีสัดส่วน 30% และมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากความกังวลความเสี่ยงของ SMEs ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสินเชื่อธุรกิจในระบบขยายตัวเฉลี่ยเพียง 0.3% เทียบกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเติบโตเฉลี่ย 2.1% สำหรับแนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2569 EXIM BANK คาดการณ์ว่า จะขยายตัวที่ราว 0-2% จากแรงกดดันด้านสงครามการค้า ข้อพิพาทชายแดน ความผันผวนของค่าเงิน และฐานที่สูงจากการเร่งส่งออก (Front-loading) ในปี 2568
EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มุ่งมั่นที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัว แข่งขันได้ และมีรากฐานที่มั่นคงในระยะยาว ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. กระตุ้นการส่งออก ช่วยให้ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ SMEs ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ผ่านการจับคู่ธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ด้วยเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยมีสินเชื่อ EXIM Export Booster เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการให้สินเชื่อพร้อมประกันการส่งออก EXIM Safe Trade Credit เพื่อบริหารความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ 2. แก้ไขหนี้ ผ่านมาตรการแก้หนี้-ดูแลหนี้ที่มีปัญหาแต่มีศักยภาพในการฟื้นฟูกิจการ และการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นฟูกิจการและปิดหนี้ได้เร็วขึ้น
3. เพิ่มสภาพคล่อง ด้วย สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3 ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถานประกอบการรักษาการจ้างงาน รวมถึงมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น อุทกภัยภาคใต้ ข้อพิพาทชายแดน 4. ลงทุนเพื่ออนาคต โดยสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน อาทิ Sustainability-Linked Loan และสินเชื่อ Green X Transformation เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงยกระดับการผลิตสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
นายชลัช กล่าวอีกว่า EXIM BANK มีการจัดทีมเฉพาะกิจเพื่อขยายบทบาทการสนับสนุนภาคธุุรกิจและการส่งออกไทย รวมถึงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในภาคใต้ ตลอดจนเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตต่าง ๆ ที่จะตามมา เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot ที่พร้อมยืนเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่นำพาผู้ประกอบการไทยเดินทางไปปักธงในตลาดใหม่ได้จริง มียอดส่งออกเพิ่มขึ้น เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่อุปทานให้เติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ด้วยเครื่องมือทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงที่พร้อมในทุกสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเป็น Top of Mind หรือหนึ่งในใจของผู้ส่งออกไทย
EXIM BANK พร้อมเดินหน้าร่วมกับภาครัฐและผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot เคียงข้างผู้ประกอบการไทยรุกตลาดโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างรอบด้าน โดยมุ่งช่วยลดต้นทุนธุรกิจในปัจจุบัน ขยายตลาดสู่อนาคต และวางรากฐานสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตที่ยั่งยืน นายชลัช กล่าว
Go To Lead
|
กสิกรไทย 'รับมติ' กนง. ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25%
นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัวได้ในกรอบจำกัด จากแรงกดดันด้านการบริโภคและการส่งออกที่ชะลอตัว ภาคเอกชนที่ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุนจากภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารเชื่อมั่นว่า การดำเนินมาตรการเชิงรุกด้วยการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยทันที ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินและสนับสนุนประสิทธิผลของนโยบายการเงินในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งช่วยเหลือและดูแลลูกค้าของธนาคาร เพื่อให้ประเทศสามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ อันจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โดยธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่ม มีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลด 0.10% จาก 6.72% เหลือ 6.62% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.25% จาก 6.69% เหลือ 6.44% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลด 0.10% จาก 6.78% เหลือ 6.68% ต่อปี ส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารได้ปรับลดในอัตรา 0.05%- 0.10% ซึ่งเป็นการปรับลดในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ธนาคารยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสำหรับลูกค้าท่านใดที่กำลังเผชิญปัญหาหรือได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธนาคารพร้อมรับฟังและให้ความช่วยเหลือ โดยลูกค้าสามารถติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคารได้ทุกช่องทาง
Go To Lead
|
ทีทีบี | ธนชาตประกันภัย พาร์ครัน 2025 ขอบคุณทุกพลังแห่งการให้
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า กิจกรรมเดิน-วิ่งมินิมาราธอนการกุศล ทีทีบี | ธนชาตประกันภัย พาร์ครัน 2025 ปีนี้มีนักวิ่งและพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน และมีผู้สมัคร Virtual Parkrun ทั่วประเทศราว 3,000 คน ร่วมส่งผลระยะวิ่งกว่า 450,000 กิโลเมตร (พิชิตเป้าหมาย 3 แสนกิโลเมตร) โดยความสำเร็จดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตร สปอนเซอร์ ผู้บริหาร พนักงาน สื่อมวลชน และที่สำคัญคือ นักวิ่งที่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ปีนี้สามารถระดมเงินบริจาคได้รวมทั้งสิ้น 7,325,000 บาท เพื่อนำไปมอบให้แก่ 7 องค์กรเพื่อสังคม ได้แก่ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพุทธโสธร โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า และ โครงการไฟ-ฟ้า โดยมูลนิธิทีทีบี
งานพาร์ครันจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ไม่เพียงส่งเสริมสุขภาพที่ดี แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกคนสามารถร่วมกัน Make REAL Change สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับสังคมไปพร้อมกันได้ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับที่อบอุ่นอีกในครั้งต่อไป และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทำให้งานวิ่งการกุศลครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี นายปิติกล่าว
ด้านนางวิชินี โอรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ธนชาตประกันภัยร่วมเป็นพันธมิตรกับทีทีบีจัดงานพาร์ครันมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 เป้าหมายสำคัญ ได้แก่ การร่วมทำบุญช่วยเหลือสังคม สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กรในการคืนประโยชน์สู่สังคม และจุดประกายให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ ผ่านการออกกำลังกายและกิจกรรมวิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งทางธนชาตประกันภัยได้ร่วมสนับสนุนงบประมาณ และร่วมออกบูธกิจกรรม พร้อมมอบประกันอุบัติเหตุให้กับนักวิ่งทุกคน เพื่อความอุ่นใจตลอดการเข้าร่วมกิจกรรม
งานพาร์ครันประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ มีเสียงตอบรับอย่างดี จากทั้งลูกค้า คู่ค้า และนักวิ่งจำนวนมาก สะท้อนความนิยมของงานในกลุ่มนักวิ่งอย่างชัดเจน โดยบรรยากาศของงานในปีนี้มีความอบอุ่นและทำให้รู้สึกประทับใจในพลังของผู้เข้าร่วมอย่างมาก ซึ่งธนชาตประกันภัยยืนยันที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับทีทีบีเดินหน้าพัฒนาและจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์นิคม มะลิทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี หนึ่งในโรงพยาบาลท้องถิ่นผู้เป็นตัวแทนรับมอบเงินบริจาคในปีนี้ กล่าวว่า การที่มีผู้เข้าร่วมงานพาร์ครันจำนวนมาก สะท้อนถึงการตระหนักด้านสุขภาพของคนไทย ซึ่งการวิ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs และรู้สึกประทับใจในพลังแห่งการให้ที่ทุกคนร่วมบริจาคเงินให้โรงพยาบาลท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อนำไปเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เด็ก ๆ ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพิ่มโอกาสรอดชีวิต และช่วยให้ได้รับโอกาสการดูแลรักษาที่ดีขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรขอขอบคุณกิจกรรมพาร์ครัน และ โครงการปันบุญ โดยทีทีบีที่ช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนภารกิจของโรงพยาบาลราชบุรีที่ต้องดูแลผู้ป่วยจากหลายจังหวัด จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้มาร่วมกิจกรรมพาร์ครันกันในครั้งต่อไป
งานเดิน-วิ่งมินิมาราธอนการกุศล ทีทีบี | ธนชาตประกันภัย พาร์ครัน 2025 ยังยึดมั่นและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเสื้อวิ่งผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล 100% และหลังจบงานวัสดุไวนิลจากป้ายบอกระยะทางจะถูกคัดแยกนำมาทำกระเป๋า Upcycling เอาไปใช้ต่อยอดการทำกิจกรรม ttb blue planet นอกจากนี้ ยังมีการแยกพลาสติกที่เกิดขึ้นจากงานนำไปบริจาคให้กับวัดจากแดง โดยขวดพลาสติกจะนำมารีไซเคิลเป็นผ้าไตรจีวร-ผ้าบังสุกุล ซึ่งการผลิตเส้นใยสำหรับผลิตผ้าจีวร 1 ไตรจีวรใช้ขวดพลาสติก 60 ใบ สำหรับฝาขวดและฉลากจะนำไปรีไซเคิลเป็นโต๊ะ เก้าอี้พลาสติก โดยพัฒนาร่วมกับวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงบ้านวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน https://parkrun.ttbfoundation.org
Go To Lead
|
ธ.ก.ส. คว้า 4 รางวัล รัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2568
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นทั้ง 4 รางวัล ที่ ธ.ก.ส. ได้รับในครั้งนี้เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน ธ.ก.ส. ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของ ธ.ก.ส. ในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ ธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงการผลิตและตลาดตลอดห่วงโซ่คุณค่าร่วมกับเครือข่ายผ่านการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสู่ระดับพรีเมียม พร้อมยกระดับขีดความสามารถลูกค้าเชิงพาณิชย์ผ่านแกนกลางการเกษตร รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สร้างรายได้ให้กับองค์กร และยกระดับการให้บริการทางการเงินด้วยเทคโนโลยีอย่างครบวงจร มุ่งสู่การดำเนินงานที่ดีอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังคงน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน ใน 4 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านวัฒนธรรม เพื่อตอบสนองอย่างมีความรับผิดชอบ ลดผลกระทบเชิงลบ สนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอน สร้างสังคมเศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน โดยรางวัลที่ ธ.ก.ส. ได้รับในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1) รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น เป็นรางวัลที่สะท้อนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพ ในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมการบริหารงานของฝ่ายจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ นโยบายและทิศทางการดำเนินงาน มีบทบาทในการกำกับดูแลที่ดี (Good Corporate Governance) รวมทั้งการติดตามการดำเนินงานในเรื่องต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
2) รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จาก โครงการ Empowering Social Impact by อุ่นอิ่มโมเดล ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจชนบทที่มั่นคง พัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนให้สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ร้อยเอ็ด จำกัด (สกต.ร้อยเอ็ด) และสมาชิกแปรรูปข้าวสารหอมมะลิ GI ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นข้าวพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ อุ่นอิ่ม ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ และได้ขยายผล อุ่นอิ่มโมเดล ไปยัง สกต. อื่น ๆ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. นครปฐม จำกัด (สกต.นครปฐม) และสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. สุรินทร์ จำกัด (สกต.สุรินทร์) ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรสมาชิกของแต่ละสหกรณ์มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงขึ้น
3) รางวัลบริการดีเด่น จาก โครงการยกระดับการให้บริการด้วยระบบงานฌาปนกิจสงเคราะห์ (BAAC Chapa) ที่ยกระดับบริการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ลูกค้า ธ.ก.ส. สู่ระบบดิจิทัลผ่าน Smart Chapa ซึ่งเป็นระบบ Back office สำหรับให้สมาคมฯ ใช้งาน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่สามารถให้บริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้องและปลอดภัย อันเป็นการลดขั้นตอนและเวลาในการดำเนินงาน รวมถึงเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องเอกสาร สร้างความเชื่อมั่นในความโปร่งใสของสมาคมฯ และสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ลูกค้า ธ.ก.ส. ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นในการใช้บริการ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ และทำธุรกรรมได้ด้วยตนเอง (Self Service) ตลอดเวลา ผ่าน Application A-Chapa โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สมาคมฯ ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง มั่นใจเรื่องความโปร่งใส อีกทั้งยังทำให้จำนวนการสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกด้วย
4) รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น ด้านความคิดสร้างสรรค์ จาก ระบบสินเชื่อชะลอการขายข้าว Digital ที่ยกระดับให้บริการสินเชื่อภายใต้โครงการชะลอการขายข้าวตามนโยบายรัฐบาล โดยใช้เทคโนโลยีและ Data Analytics มาให้บริการสินเชื่อแทนการปฏิบัติงานแบบเดิม ทำให้การทำงานสะดวก ลดค่าใช้จ่าย และลดเวลาในการเดินทางของลูกค้าในการเดินทางมาทำธุรกรรมที่สาขา อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร โดยลดเวลาปฏิบัติงานและยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน
นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสนี้ ธ.ก.ส. ขอขอบคุณลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของธนาคารมาโดยตลอด จนนำไปสู่การได้รับรางวัลในครั้งนี้ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ ธ.ก.ส. มุ่งมั่นในการเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรม ในการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปมากยิ่งขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน
Go To Lead
|
SME D Bank ชูฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน จ.ชุมพร เสิร์ฟ
สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3% ติดปีกเอสเอ็มอีภาคใต้ ปลุกพลังเศรษฐกิจท้องถิ่น
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ผนึกกำลังหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดมหกรรม ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน ณ จ.ชุมพร สอดคล้องกับนโยบาย ฝ่า ฟัน ดึง ดัน ของกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ภาคใต้ เข้าถึงแหล่งทุน ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก วงเงินรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ควบคู่บริการพัฒนาศักยภาพธุรกิจครบวงจร อีกทั้ง ช่วยแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพในชุมชน และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานรากของไทย SME D Bank กระจายจัดมหกรรมดังกล่าวในพื้นที่ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยการเลือกจัดที่ จ.ชุมพร เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ผสมผสานระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคบริการและการท่องเที่ยว ตลอดจนภาคอุตสาหกรรม ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ ให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต และเติบโตอย่างเข้มแข็งในทุกมิติ ซึ่งการจัดมหกรรมครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภาคใต้ มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
ภายในงานมีบริการสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 เติมทุน สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุด 30 ล้านบาท นำไปเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ปรับปรุง หรือยกระดับกิจการ สามารถยื่นกู้ในงานได้ทันที ด้านที่ 2 เติมความรู้ Upskill Reskill ยกระดับธุรกิจครบวงจรผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ใช้งานง่าย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง และ ด้านที่ 3 เติมโอกาส ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบาง ผ่านมาตรการ 3 ลด ปลดหนี้ ได้แก่ 1. ลดผ่อน ปรับวงเงินการผ่อนชำระ ตามความสามารถของกิจการ 2. ลดเงินต้น ปรับโครงสร้าง เพิ่มความยืดหยุ่น นําเงินค่างวดแบ่งตัดลดเงินต้น และ 3. ลดดอกเบี้ยค้างชำระ เมื่อชำระตามเงื่อนไขของธนาคารหรือปิดบัญชี ช่วยฟื้นฟูกิจการกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง
นอกจากนั้น ยังมีการมอบป้ายสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการในท้องถิ่น ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก SME D Bank อีกทั้ง การออกบูธให้คำปรึกษาและเพิ่มศักยภาพธุรกิจจาก SME D Bank และหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) , อุตสาหกรรมจังหวัด, พาณิชย์จังหวัด , บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิต ฟรี เป็นต้น โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวพลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าที่ร้อยตรี กิตติภพ รอดดอน รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิด รวมถึง มีผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ชุมพร และใกล้เคียง เข้ารับบริการในมหกรรมครั้งนี้จำนวนมาก
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการรับการสนับสนุนด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank แจ้งความประสงค์ได้ ณ SME D Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|