|
กสิกรไทย เปิดตัว ออร์บิกซ์ กรุ๊ป
ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว ออร์บิกซ์ กรุ๊ป บริการครอบคลุม ทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ตอกย้ำผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัลงานฟินเทคระดับโลก Money20/20 Asia
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า งาน Money20/20 มหกรรมงานฟินเทคชั้นนำระดับโลก ซึ่งกรุงเทพฯ ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากเป็นเมืองศูนย์กลางการเติบโตของฟินเทคในเอเชียที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยได้ขึ้นร่วมเสวนาในหัวข้อ "Legacy Banks in the New Economy: Innovation, Agility, and Customer-Centric Transformation" การพลิกโฉมธนาคารดั้งเดิมในยุคเศรษฐกิจใหม่ ด้วยนวัตกรรม ความคล่องตัว และการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ของธนาคารกสิกรไทย มุ่งสร้างอนาคตการเงินด้วยนวัตกรรมและพันธกิจเพื่อความยั่งยืน ด้วยการปรับตัวก้าวข้ามทุกวิกฤตสู่การเป็น Early Adopter อย่างแท้จริง ด้วยความสำเร็จจาก K PLUS โมบายแบงกิ้งที่ครองอันดับหนึ่งดิจิทัลแบงก์กิ้งที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ธนาคารยังเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ความร่วมมือกับพันธมิตร และการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกมิติ สอดคล้องกับทิศทางของยุคเศรษฐกิจใหม่ และสร้างนวัตกรรมทางการเงินในโลกบล็อกเชน เชื่อมโยงกลยุทธ์ทั้งด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และ ESG เพื่อขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน
ขณะที่ นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ "Digital Banks vs. Legacy Banks: Will 2025 Be the Tipping Point?" การแข่งขันระหว่างธนาคารดิจิทัล และธนาคารดั้งเดิม ผ่านมุมมองของผู้นำองค์กรการเงินระดับโลก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ ธนาคารดั้งเดิมสามารถรักษาความสำคัญและแข่งขันกับธนาคารดิจิทัลได้โดยการปรับตัวเป็น Hybrid Bank ผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งดั้งเดิม เช่น ความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์กับลูกค้า กับการพัฒนา ประสบการณ์ดิจิทัลที่ทันสมัย และการจับมือเป็นพันธมิตร เพื่อเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ส่วนกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การลงทุนในนวัตกรรม ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการใช้จุดแข็งด้าน Human Touchpoints เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ขับเคลื่อนให้ลูกค้าใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยบริการที่ครบวงจร สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล พร้อมต่อยอดจากธุรกิจธนาคารสู่ระบบนิเวศทางการเงินยุคใหม่ เช่น การจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินเพื่อรองรับ Digital Asset Ecosystem และ การให้บริการที่ครบวงจร เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในโลกการเงินยุคใหม่
ทั้งนี้ ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ยังได้แถลงข่าวเปิดตัว กลุ่มออร์บิกซ์ อย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในการวางรากฐานให้กับอนาคตของวงการการเงินไทย ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยน่าเชื่อถือสอดคล้องตามเกณฑ์จากหน่วยงานกำกับดูแลภายในประเทศ และเข้าถึงได้จริง สำหรับทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน ออร์บิกซ์กรุ๊ป ตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลของภูมิภาค
ดร.กรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลนี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปูทางสู่ระบบการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ
สำหรับ บริษัท ออร์บิกซ์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้เปิดตัว กลุ่มออร์บิกซ์ (Orbix Group) ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มุ่งเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ (Seamless) บริการครอบคลุมในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีระบบรักษาข้อมูลและความปลอดภัย
ปัจจุบัน มีบริการที่ครอบคลุมระบบนิเวศด้านสินทรัพย์ดิจิทัล 5 บริษัท ภายใต้ออร์บิกซ์กรุ๊ป ประกอบด้วย:
Kubix (คิวบิกซ์) ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) รายแรกของกลุ่มธุรกิจทางการเงินไทย ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
Orbix Trade (ออร์บิกซ์ เทรด) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่หลากหลาย
Orbix Invest (ออร์บิกซ์ อินเวสท์) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
Orbix Technology (ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี) ผู้พัฒนาและให้บริการ Quarix ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อคเชนระดับภูมิภาค ที่มุ่งขับเคลื่อนให้เกิด Use Cases ในโลกความจริง
Orbix Custodian (ออร์บิกซ์ คัสโทเดียน) ผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.
มุ่งสู่อนาคตของฟินเทคและสินทรัพย์ดิจิทัล
การเข้าร่วมงาน Money20/20 Asia ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของธนาคารกสิกรไทย และ ออร์บิกซ์กรุ๊ปภายใต้กลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ในการเป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงิน พร้อมพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับอนาคตทางการเงินที่มีมาตรฐานภายใต้หน่วยงานกำกับดูแล และสามารถเข้าถึงได้
Go To Lead
|
ก.ล.ต. ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 2 ราย เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิด เกี่ยวกับข้อมูล JKN
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) เมื่อเดือนเมษายน 2567 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 14.00 น. JKN โดยนายจักรพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศของ JKN ได้เปิดเผยผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ระบบ SETLink) ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้ JKN ชี้แจงกรณีปรากฏข่าวบนสื่อออนไลน์ว่า JKN ได้ขายธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization: MUO) ให้แก่นายราอูล โรชา เศรษฐีชาวเม็กซิกัน ซึ่ง JKN ชี้แจงโดยสรุปว่า JKN ได้มีการดำเนินการหาและติดต่อนักลงทุนหลากหลายราย และได้ศึกษารายละเอียดข้อเสนอลงทุนของนักลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในช่วงเวลานั้น JKN โดย JKN Global Content Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JKN ได้ดำเนินการขายหุ้นของ JKN Legacy, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล และครอบครองลิขสิทธิ์นางงามจักรวาล (Miss Universe) ให้แก่ Legacy Holding Group USA Inc. ในจำนวนร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อมูลว่า Legacy Holding Group USA Inc. มีนายราอูล โรชา เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดังนั้น ข้อความที่ JKN เผยแพร่ดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อมูลของ JKN โดยประการที่น่าจะทำให้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ JKN
การกระทำของ JKN เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง และมาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน โดยนายจักรพงษ์ ในฐานะเป็นบุคคล ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล กระทำการเป็นเหตุให้ JKN กระทำความผิดในกรณีข้างต้นจึงต้องรับโทษเดียวกันตามมาตรา 300 ประกอบมาตรา 240 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย โดยให้ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ชำระค่าปรับทางแพ่งและชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงินรายละ 2,062,039 บาท และห้ามนายจักรพงษ์เป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 56 เดือน มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง
Go To Lead
|
ทีทีบี -จุฬาฯ เปิดหลักสูตรพิเศษ Wealth Empowerment Program กลุ่มลูกค้า Wealth
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดตัวหลักสูตรพิเศษ "Wealth Empowerment Program (WE) โครงการเสริมวิสัยทัศน์การบริหารความมั่งคั่งสู่ความสำเร็จ สำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารที่เป็นเจ้าของธุรกิจและทายาทธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์ด้านการบริหารความมั่งคั่ง เพิ่มพูนทักษะความเป็นผู้นำองค์กรและผู้นำทางความคิด มุ่งยกระดับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้า Wealth ของธนาคารที่เป็นเจ้าของธุรกิจและทายาทธุรกิจจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รวมตัวกันเพื่อสร้างเครือข่ายนักธุรกิจที่มีคุณค่า ได้พัฒนาตนเองเพื่อเสริมศักยภาพ นำแนวคิดใหม่ใช้วางแผนกลยุทธ์และสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงทักษะการบริหารและต่อยอดความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ในพิธีเปิดโครงการ นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน พร้อมถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ในหัวข้อ Leaders Vision โดยกล่าวถึงหลักการสำคัญของผู้นำในยุคปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.ความซื่อสัตย์และจริยธรรม (Integrity) 2.ความสามารถ (Intelligence) และ 3.พลังในการขับเคลื่อนงาน (Energy) พร้อมชี้ให้เห็นว่า กระดุมเม็ดแรก ของผู้นำที่ดีคือการยึดมั่นในคุณธรรม
นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงทักษะสำคัญของผู้นำในยุคใหม่ที่ต้องมี ได้แก่ การสื่อสาร การรับฟัง การแก้ไขปัญหา และการให้กำลังใจ โดยเฉพาะ การขอบคุณ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างแรงจูงใจและความผูกพันในองค์กร ที่สามารถสร้าง Productivity ได้สูง อีกทั้งยังกล่าวถึงความสำคัญของ Empathy หรือการเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งช่วยให้ผู้นำสามารถสื่อสารและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยการมีทัศนคติเชิงบวก การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และการใช้อารมณ์ขันอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเสนอ
รองศาสตราจารย์ ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งคอมมูนิตี้แห่งการเรียนรู้ที่ทรงคุณค่า ช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจต่างอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจเกษตรและธุรกิจเหล็ก ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ ที่แตกต่างและตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ ในแต่ละสัปดาห์ของการอบรมจะมีกิจกรรม Workshop และ Networking เพื่อสร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนมุมมองด้านการทำธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ ระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2568 โดยมีการอบรมสัปดาห์ละ 1 วัน ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญ อาทิ การพัฒนาตนเองเพื่อเสริมศักยภาพเจ้าของธุรกิจ หลักจิตวิทยาการสื่อสารของผู้นำ กลยุทธ์นวัตกรรมการตลาด แนวคิดใหม่ในการพัฒนาธุรกิจ และการบริหารความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ แลกเปลี่ยนมุมมอง และประสบการณ์อันทรงคุณค่า โดยผู้ที่ผ่านการอบรมทั้ง 8 สัปดาห์จะได้รับวุฒิบัตรจากทีทีบี และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทีทีบี มุ่งมั่นในการเป็นพาร์ตเนอร์ทางการเงินที่พร้อมเสริมศักยภาพของลูกค้าอย่างแท้จริง เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีในวันนี้และอนาคต
Go To Lead
|
EXIM BANK จัดเต็ม โปรโมชันดี ๆ ช่วยผู้ส่งออกฝ่ามรสุมทรัมป์ 2.0
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดเต็ม บริการทางการเงิน พร้อมโปรโมชันพิเศษ ตอบแทนความดีของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย โอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการคลัง ครบรอบ 150 ปี ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 1-วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ Hall 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หมายเลขบูท 18 ภายใต้แนวคิด 150 ปีแห่งความมั่นคง EXIM ส่งเสริมความดีเพื่อความยั่งยืน
โปรโมชันพิเศษ ตอบแทนความดีลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจสีขาว ต่อยอดความยั่งยืน
ดีที่ 1 ตอบแทนความดีให้ลูกค้าที่ร่วมเติบโตมาอย่างดีกับ 31 ปี ของ EXIM BANK จำนวน 310 ราย ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.1% ต่อปี และมอบของขวัญลูกค้ารายใหม่ คิดค่าธรรมเนียมแรกเข้าเพียง 0.5% เมื่อยื่นขอสินเชื่อภายใน 31 พฤษภาคม 2568
ดีที่ 2 สนับสนุนผู้ประกอบการทำความดี ด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ประกอบด้วย สินเชื่อ White Starter อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.60% ต่อปี สินเชื่อ White Intermediate อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.75% ต่อปี และสินเชื่อ White Advanced อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.75% ต่อปี
นอกจากนี้ EXIM Export Clinic ยังเปิดให้คำปรึกษาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ รวมทั้งให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาษีแบบตอบโต้ ตลอดจนผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999
Go To Lead
|
SME D Bank 'หนุน'ร่วมโครงการ คุณสู้ เราช่วย แก้ปัญหาหนี้กว่า 17,200 ราย
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายแก้หนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านโครงการ คุณสู้ เราช่วย ซึ่ง SME D Bank ขานรับนโยบายเข้าร่วมโครงการ ด้วยการเปิดให้ลูกหนี้ของธนาคารที่เข้าเกณฑ์จำนวนกว่า 17,200 ราย มูลหนี้ประมาณ 16,800 ล้านบาท ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th) รวมถึง ทำงานเชิงรุกด้วยการส่งจดหมายแนะนำโครงการไปถึงลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ ควบคู่กับให้ทีมงานธนาคารติดต่อลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ เพื่อให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด แนะนำถึงประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ อีกทั้งเปิด Call Center สายพิเศษ รองรับให้บริการในโครงการนี้โดยเฉพาะผ่านเลขหมาย 1357 กด 99 นับตั้งแต่เปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าโครงการแล้วกว่า 7,200 ราย หรือคิดเป็นกว่า 40% ของลูกหนี้ทั้งหมดของธนาคารที่มีสิทธิ์ ผ่านเกณฑ์โครงการกว่า 4,650 ราย แยกตามประเภทอุตสาหกรรม ภาคการค้า ประมาณ 38% ภาคบริการ ประมาณ 34% และภาคการผลิต ประมาณ 28% โดยเป็นสัดส่วนกลุ่มธุรกิจที่ผ่านมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ และทำสัญญาแล้ว จำนวนกว่า 2,900 ราย มูลหนี้กว่า 3,800 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มที่ลงทะเบียนแบ่งเป็นกลุ่ม Lower SE (รายได้เกิน 1.8 ถึง 15 ล้านบาทต่อปี) จำนวน 58% กลุ่ม Micro (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) จำนวน 24% กลุ่ม Upper SE (รายได้เกิน 15 ถึง 100 ล้านบาทต่อปี) จำนวน 16% และกลุ่ม ME (รายได้เกิน 100 ล้านบาทต่อปี) จำนวน 2% เมื่อรวมกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นรายเล็กกับรายย่อย ( Lower SE , Micro ) จำนวนรวมถึงกว่า 82% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการรายเล็กของไทยมีศักยภาพเปราะบาง ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนั้น ธนาคารยังช่วยเหลือด้านการพัฒนา เน้นการเพิ่มรายได้ขยายตลาด เช่น เชิญร่วมโครงการ SME D Market ซึ่งธนาคารจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เปิดโอกาสให้มาออกบูธจำหน่ายสินค้า ณ สำนักงานใหญ่ SME D Bank โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เชิญร่วมกิจกรรมคาราวานสินค้า สร้างโอกาสทางการตลาด และจับคู่ธุรกิจ นอกจากนั้น เชิญร่วมโครงการไลฟ์คอมเมิร์ซ เวิร์คช้อปการทำตลาดยุคดิจิทัล พร้อมโอกาสเพิ่มรายได้ด้วยการให้คนดังบนโลกออนไลน์ช่วยบอกต่อ เป็นต้น
จากที่โครงการดังกล่าว ได้ขยายเวลาลงทะเบียนออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 นับเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือลดค่างวดชำระ 3 ปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง โดยปีแรกชำระเพียง 50% เท่านั้น โดยค่างวดที่ชำระนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด อีกทั้ง ไม่เก็บดอกเบี้ย 3 ปี เมื่อทำตามเงื่อนไข และหากชำระค่างวดมากกว่าขั้นต่ำ ตัดเงินต้นเพิ่ม ปิดหนี้จบได้อย่างรวดเร็ว จึงขอเชิญชวนลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ รีบแจ้งความประสงค์ เพื่อรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือ ลดภาระหนี้ และสร้างโอกาสให้กลับมาเริ่มต้นดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th) หรือเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th/khunsoo) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 กด 99
Go To Lead
|
[ENGLISH]
|