Insurance
Go to  i click
Hot News: เกจิ 'ชี้' ไทยเสี่ยงปานกลาง Tariffs
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
เกจิ 'ชี้' ไทยเสี่ยงปานกลาง Tariffs
กลุ่มอลิอันซ์ เปิดเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ 'ชี้'ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เข้มข้น หลังจากผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ตั้งเป้าเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 130% เป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการค้าระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอิเล็กทรอนิกส์ สหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการภาษีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจแผ่ขยายไปทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง
นายโทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต (AZAY) เปิดเผยว่า ประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบในระดับปานกลางจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีการปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2.2% ในปี 2025 และ 2.1% ในปี 2026 จาก 2.5% ในปี 2024 โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งจะมีแรงกดดันจากภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทาน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เหมือนบางประเทศในภูมิภาค แต่ก็ยังเผชิญกับผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนทางการค้า ทั้งนี้ ธนาคารกลางมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่การพึ่งพานโยบายภายในประเทศและการกระจายความเสี่ยงทางการค้าจะมีบทบาทสำคัญในการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกในระยะต่อไป.
ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ทำให้องค์กรต่างๆ ลดการลงทุนและชะลอแผนขยายธุรกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2025 คาดว่าจะชะลอลงเหลือเพียง 2.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย การชะลอตัวของการบริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว และความตึงเครียดที่ปะทุจากการตอบโต้เชิงนโยบายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็อยู่ในภาวะซบเซาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลกจึงต้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) มีแนวโน้มจะเป็นผู้นำในการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปี 2025 ต่อเนื่องถึงปี 2026 หากภาวะเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง ในทางกลับกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทั้งจากนโยบายการคลังของประเทศสมาชิก และต้นทุนทางการเมืองจากนโยบายรวมยุโรป ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) แม้จะเริ่มทยอยยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบแล้ว แต่ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินภายในประเทศ
ขณะที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วกำลังเผชิญความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดเกิดใหม่กลับได้รับแรงส่งบางประการจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะ เอเชียเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) ที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตโลก คาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตได้ถึง 3.9% ในปี 2025 แม้การเติบโตอาจชะลอลงเล็กน้อย แต่กลุ่มประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ยังคงเติบโตเหนือค่าเฉลี่ยโลก โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ เงินเฟ้อที่ลดลง และทิศทางดอกเบี้ยขาลงที่เปิดช่องให้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ การกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน (China+1 Strategy) ยังเอื้อให้ประเทศเหล่านี้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญในระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเกิดใหม่อื่น ๆ กลับมีแนวโน้มผลกระทบที่แตกต่างหลากหลาย ยุโรปตะวันออก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.5% โดยแรงส่งหลักมาจากการจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ แต่ยังถูกจำกัดด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลง และนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นได้น้อย ในรัสเซียและตุรกี ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงสูง ขณะที่ ละตินอเมริกา เผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลัง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น แม้เม็กซิโกจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ และจีน (nearshoring) ก็ตาม แอฟริกาและตะวันออกกลาง ก็มีภาพที่ผสมผสาน โดยกลุ่มประเทศอ่าวยังคงมีเสถียรภาพจากรายได้พลังงาน แต่ประเทศอย่างอียิปต์ ซูดาน และพื้นที่ในเลแวนต์ ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนภาษี โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (frontloading) การเปลี่ยนแหล่งผลิต (relocation) และการปรับกลยุทธ์ราคาขาย โดยเฉพาะบริษัทสหรัฐฯ เช่น Costco ที่เพิ่มสินค้าคงคลังขึ้น 10% และ Williams-Sonoma เพิ่มขึ้น 6.9% เพื่อรองรับความต้องการล่วงหน้าในช่วง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยงหากอุปสงค์ผู้บริโภคไม่เป็นไปตามที่คาด นอกจากนี้ บริษัทจำนวนมากยังย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีโดยตรง พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มถูกกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองและนโยบาย
ตลาดทุนเริ่มสะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เผชิญแรงเทขายหนักในกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ขณะที่ S&P 500 ลดลงถึง 5% ในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้านตลาดหุ้นยุโรปกลับมีความยืดหยุ่นมากกว่า ด้วยแรงหนุนจากงบลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะในเยอรมนี ส่วนตลาดตราสารหนี้เริ่มแสดงสัญญาณของการกลับทิศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ คาดว่าจะแตะ 4.0% ในปี 2025 ก่อนลดลงในปี 2026 ตามจังหวะการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะกลาง เมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งอาจอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.10 ภายในปลายปี 2026

Go To Lead


เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม
“เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 12

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าจัดกิจกรรม โครงการเอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ (AIA Sharing A Life) หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน” มอบวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อเสริมเกราะป้องกันความรุนแรงของโรคให้แก่คนไทย ซึ่งมีการแพร่ระบาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปีและมีสถิติผู้ติดเชื้อมากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา พร้อมยังมอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่เจ้าหน้าที่กวาดถนนและเก็บขยะของกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต จำนวนรวม 10,000 เข็มโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่มีการทำงานในเขตพื้นที่ชุมชนและมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ซึ่งในงานแถลงข่าว นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ ครั้งที่ 12 (AIA Sharing A Life 12) ณ ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง)
นอกจากนี้ เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ ครั้งที่ 12 (AIA Sharing A Life 12) ยังมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าเอไอเอ ด้วยบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าประกันสุขภาพที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือน – 15 ปี พร้อมด้วยวัคซีนในราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป* โดยลูกค้าเอไอเอสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผ่านโรงพยาบาลในโครงการ AIA Smart Network ทั่วประเทศ ซึ่งตอกย้ำถึงพันธกิจของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรผู้นำด้าน ESG แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมขับเคลื่อนสังคมและคนไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและแข็งแรงอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’
นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า เอไอเอ ขอขอบคุณกรุงเทพมหานครที่ให้ความร่วมมือพาเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดของ กทม. มารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อช่วยกันป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับโครงการเอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ ถือเป็นกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมประจำปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอไอเอ ประเทศไทย รวมพลังพนักงาน ตัวแทน และพันธมิตรให้ออกมาร่วมกันทำความดีในหนึ่งวัน โดยในปีนี้เราจัดขึ้นเป็นปีที่ 12 แล้ว ภายใต้แนวคิด “Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน” ต่อยอดจากกิจกรรมที่เราทำเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยการมอบวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จำนวน 10,000 เข็มให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำสังกัดกรุงเทพมหานครทั้งหมด 50 เขต โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดของ กทม. เพื่อตอบแทนความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ที่ทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดเพื่อทำให้กรุงเทพฯ ของเราสะอาด สวยงาม และน่าอยู่ โดยตลอด 87 ปีที่ผ่านมา เอไอเอดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการตอบแทนคืนสู่สังคมและชุมชนที่เราอยู่ เพื่อช่วยพัฒนาสังคมและชุมชนให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตรงตามกับพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573”
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ปีนี้มาเร็วและรุนแรงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา โดยมีผู้ติดเชื้อทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 270,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่แล้วกว่า 20 ราย ข้อมูลจากเดือนมกราคม 2568 โดยกรุงเทพมหานคร มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดกว่า 14,000 ราย** ซึ่งทาง กทม.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดด้วยการจัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อมอบแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ? โดยวันนี้ กทม. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาคเอกชนอย่างเอไอเอ ประเทศไทย เห็นความสำคัญของการป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่เก็บพี่กวาดของเราที่ต้องทำงานเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ?ในนามของกรุงเทพมหานคร ขอขอบคุณ เอไอเอ ประเทศไทย ที่มอบวัคซีนจำนวน 10,000 เข็มให้กับเจ้าหน้าที่ทั้ง 50 เขตของ กทม. ซึ่งเราจะจัดฉีดให้ครบภายในเดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อให้ทันก่อนฤดูฝนที่กำลังจะมา ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานของ กทม. ทุกภาคส่วน ตลอดจนสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย และพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมมือร่วมใจช่วยกันลดการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ เพื่อสร้างกรุงเทพมหานครที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน”

Go To Lead


OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต
จัดกิจกรรม OCEAN LIFE RUNNING CLUB
สนับสนุนให้ลูกค้ารักตัวเอง รักสุขภาพ เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่รักไปนาน ๆ
บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต รักคือพลังของชีวิต นำโดยคุณระวิน มุคขจี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ด้านบริหารประสบการณ์ลูกค้า เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าผ่านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ภายใต้แนวคิด HEALTHIVERSE SOLUTION : LOVE STARTS WITH YOU สนับสนุนให้ทุกคนเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ด้วยการรักตัวเอง รักสุขภาพ เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่รักไปนาน ๆ โดยจัดกิจกรรม OCEAN LIFE RUNNING CLUB ให้ลูกค้า OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิตได้ร่วมเวิร์กช็อปวิ่งเพื่อสุขภาพ พร้อมเรียนรู้เทคนิคการวิ่งที่หลากหลาย และการเตรียมความพร้อมของร่างกายจาก “โค้ชกอล์ฟ” ธนาคร บุญประสิทธิ์ผล Running Coach ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิ่ง โดยเริ่มตั้งแต่การประเมินความพร้อมของร่างกาย (Mobility Assessment) ฝึกการเคลื่อนไหวและท่าวิ่งที่ถูกต้อง (Running Drill) การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับนักวิ่ง (Foundation Strength Training) ซึ่งช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดียิ่งขึ้น โดยกิจกรรมนี้ได้รับความสนใจจากลูกค้าผู้รักสุขภาพนำ Ochi Coin แลกรับสิทธิ์เข้าร่วมเวิร์กช็อปกันอย่างคึกคัก ในบรรยากาศอบอุ่น สนุกสนาน และเต็มไปด้วยพลังของคนรักสุขภาพ ณ สนามกีฬาโรงเรียนนานาชาติ Brighton College Bangkok
ร่วมติดตามกิจกรรมดี ๆ เพื่อสุขภาพ และประสบการณ์แห่งความรักที่เริ่มต้นจากการดูแลตัวเอง กับ OCEAN LIFE ไทยสมุทรประกันชีวิต ได้ที่ OCEAN CLUB APP หรือสนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ocean.co.th หรือ ติดต่อ OCEAN LIFE CONTACT CENTER โทร. 1503
ทั้งนี้ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านสื่อมวลชนจะกรุณาประชาสัมพันธ์ Photo Release ดังกล่าว และขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

Go To Lead


กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต ลอนช์
"โรคร้ายโซชิลด์"ประกันโรคร้ายแรง
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โรคร้ายโซชิลด์ แบบประกันโรคร้ายแรง ที่คุณสามารถใช้ชีวิตแบบชิลด์ได้ชัวร์ ไม่กลัวโรคร้าย และพร้อมเคียงข้างทุกคนที่มีความฝัน ซึ่งช่วยคุณวางแผนค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในอนาคตแบบไร้กังวล ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวครอบคลุม 10 โรคร้ายแรง และเพิ่มเติมอีก 4 โรคร้ายในเด็ก โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุ 1 – 65 ปี คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี ด้วยวงเงินรักษาเหมาจ่ายสูงสุด 10 ล้านบาท ต่อรอบปีกรมธรรม์ ด้วยค่าเบี้ยประกันที่เข้าถึงได้ เริ่มต้นแค่วันละ 16 บาท พร้อมรับสิทธิในการลดหย่อนภาษี ผลิตภัณฑ์โรคร้ายโซชิลด์ (Roke Rai So Shield) มีจุดเด่นดังนี้
เลือกแผนความคุ้มครองได้ถึง 4 แผน คุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี ครอบคลุมการรักษาทั้ง 3 ขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมความพร้อม เข้ารับการรักษา และระยะฟื้นฟู
ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย ทั้งกรณีผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) จากการรักษาโรคร้ายแรง เบี้ยประกันภัยสุขภาพ สามารถนำมาใช้ดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ตามเงื่อนไขที่ทางกรมสรรพากรกำหนด บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และบริการให้สามารถเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลครอบครัว ธุรกิจ และชุมชนได้อย่างมั่นใจ พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ผู้ที่สนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ “โรคร้ายโซชิลด์” ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/products/health-insurance-and-hospital-income/rokeraisoshield หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.1159 อีเมล customer.care@krungthai-axa.co.th หรือตัวแทน และสำนักงานตัวแทนของบริษัทฯ ทั่วประเทศ

Go To Lead


กรุงเทพประกันชีวิต ผู้นำความโปร่งใส และจริยธรรมธุรกิจ
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ก้าวสู่ผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจ โดยได้รับการเลื่อนสถานะเป็น CAC Change Agent จากองค์กรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส ปกป้องผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเผยแพร่ไปยังคู่ค้าให้มีห่วงโซ่อุปทานที่ใสสะอาด
กรุงเทพประกันชีวิต เชื่อมั่นในพลังความใส่ใจและมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านการคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ความสำเร็จครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กรรวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ โดยกรุงเทพประกันชีวิตจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจต่อไ

Go To Lead


กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล 'เผย'ผลกำไรธุรกิจใหม่โตเพิ่ม 12%
นายอนิล วัธวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียลเปิดเผยว่า “เรายังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตด้วยคุณภาพที่เน้นการสร้างกำไรจากธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการดำเนินงาน ที่แข็งแกร่งไตรมาสแรกปีนี้ ได้สะท้อนภาพรวมของผลตอบแทนธุรกิจที่เป็นบวกและการสร้างทุนที่มั่นคง แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของเราอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อยกระดับประสบการณ์และตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น อัตราผลกำไรจากธุรกิจใหม่ (NBP) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 12% สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานที่เราวางไว้ในปีนี้ซึ่งคาดว่า กำไรจากธุรกิจใหม่ตลอดปีจะเติบโตเกินกว่า 10% การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มาจากผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียลในหลายประเทศ ที่มีส่วนผลักดันให้เราเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งด้านปริมาณและ อัตรากำไร(margin)ที่ขยายตัว 2 จุดเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยี และปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งเสริมศักยภาพด้วยการแต่งตั้ง มร. จอห์น ไช่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายขายช่องทางตัวแทนระดับภูมิภาค ควบคู่กับการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่ดูแลตลาดใน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เรายังคำนึงถึงส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ พรูเด็นเชียล ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 442 ล้านเหรียญสหรัฐ (49 ล้านหุ้น) ภายใต้โครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 23 เม.ย. 2568 และยังอยู่ระหว่างพิจารณาความเป็นไปได้ถึงการนำธุรกิจจัดการสินทรัพย์ในอินเดียเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยตั้งใจนำรายได้สุทธิส่งมอบให้แก่ผู้ถือหุ้น
ด้านสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านภาษีและมาตรการการค้าระหว่างประเทศที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้ ผมเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล ด้วยสถานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ผสานกับเครือข่ายธุรกิจของเราในหลายประเทศ ผมยังคงเชื่อมั่นว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความผันผวน แต่พรูเด็นเชียลยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วยช่องทางที่หลากหลาย และโอกาสมากมายจากตลาดของเราในหลายประเทศเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจที่มั่นคงและสร้างผลกำไรในระยะยาว” นายอนิล กล่าว
อนึ่้ง กลุ่มบริษัทพรูเด็นเชียล แถลงผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ (สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2568) โดยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นดังนี้ มีผลกำไรธุรกิจใหม่ (New Business Profit) เติบโตเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 608 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตามวิธีการคำนวณแบบ Traditional Embedded Value -TEV) มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) เติบโตเพิ่มขึ้น 4% อยู่ที่ 1,677 ล้านเหรียญสหรัฐ และ มีอัตรากำไรจากธุรกิจใหม่ (New Business Margin) เพิ่มขึ้น 2 จุดเปอร์เซ็นต์

Go To Lead


เมืองไทยประกันชีวิต มอบเงินสนับสนุนกว่า 16 ล้าน ร.พ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 74 ปีแห่งการดำเนินธุรกิจ บริษัทฯ ยึดมั่นในการดูแลและคุ้มครองประชาชนควบคู่กับการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา รวมถึงสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตามนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง โดยการสนับสนุน ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์เจตนารมณ์ของบริษัทในการร่วมเสริมสร้างระบบสุขภาพไทย ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง โดยมอบเงินสนับสนุนแก่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูง และเป็นแหล่งวิจัย ฝึกอบรม และเผยแพร่ความรู้ ด้านโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยในวงกว้าง
โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยเงียบที่เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตผู้ป่วยและครอบครัว ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จึงมุ่งดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร โดยทีมสหสาขาวิชา ครอบคลุมทั้งการป้องกัน รักษา ฟื้นฟู ติดตามอาการ และดูแลต่อเนื่องที่บ้าน พร้อมเป็นศูนย์กลางฝึกอบรม วิจัย และเผยแพร่ความรู้สู่สังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดอัตราการเจ็บป่วยและภาระต่อระบบสาธารณสุขอย่างยั่งยืน และบริษัทยังมอบเงินสนับสนุนใน “โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทยให้ครอบคลุม เข้าถึง และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยังมอบเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาศูนย์ฯ เพิ่มเติมผ่านทางการกิจกรรมการจัดแสดงการเต้นรำระดับโลก “Rhythm Dance by The BYU Ballroom Dance Company” รวมเป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท เพื่อมอบให้แก่“โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สำหรับ “โครงการพัฒนาศูนย์มะเร็งแบบบูรณาการ” โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านการดูแลรักษาโรคมะเร็งอย่างครบวงจร โดยมีการปรับปรุงอาคารเดิม 4 อาคาร ได้แก่ อาคารคัคคณางค์, อาคารนวมินทราชินี, อาคารเอลิซาเบธ และอาคารว่องวานิช ให้เป็นอาคารสูง 9 ชั้น เชื่อมต่อกับอาคารนวมินทราชินีซึ่งเป็นอาคารสูง 11 ชั้น เพื่อรองรับการให้บริการผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการวินิจฉัยและรักษาด้วยเครื่องมือทางรังสีวิทยา ซึ่งต้องจัดหาเครื่องมือใหม่ทดแทนของเดิมที่ใช้งานมานาน นอกจากนี้บริษัทยังมอบเงินสนับสนุนจากโครงการ MTL e-Document หรือ การรับเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทดแทนการรับเอกสารที่เป็นกระดาษ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “Save Paper, Save Life” เชิญชวนลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการรักษ์โลกด้วยการสมัคร MTL e-Document และทุกการสมัครยังจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคจำนวน 20 บาทต่อ 1 กรมธรรม์ที่สมัครสำเร็จ และนำไปบริจาคให้แก่สภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ
“แคมเปญ “Save Paper, Save Life” นอกจากเป็นการตอกย้ำนโยบายด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ แล้วนั้น ยังถือเป็นการฉลองความสำเร็จในการผลักดันนโยบายดังกล่าวจนมียอดลูกค้าสมัครรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์กว่า 100,000 ราย รวมกว่า 200,000 กรมธรรม์ ซึ่งช่วยลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 1,700,000 แผ่น พร้อมกันนี้จึงได้จัดแคมเปญพิเศษเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัยอยู่ในขณะนี้ ทำให้ลูกค้าที่สมัครMTL e-Document นอกจากจะได้ช่วยกันลดโลกร้อนแล้ว ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนไปอีกทางหนึ่งด้วย โดยยอดเงินบริจาคจากการกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 110,000 บาท ในโอกาสนี้บริษัทได้รับเกียรติจาก นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รองศาสตราจารย์พิเศษ แพทย์หญิง อรอุมา ชุติเนตร หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านโรคหลอดเลือดสมอง และ นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบเงินสนับสนุน รวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 16,110,000 บาท #เมืองไทยประกันชีวิต #MuangThaiLife

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com