Trade/Logistics
Hot News: ไทยยูเนี่ยน โชว์ GPM สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ดัน EPS เติบโต 18% ไตรมาส 2
http://www.tviclick.com
Home Page iClick News.com
Home
Print this webpage
Print
English Version
English
ไทยยูเนี่ยน โชว์ GPM
สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ดัน EPS เติบโต 18% ไตรมาส 2
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสสอง พบว่ายอดขายขยายตัวลดลง 0.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน 4.7 เปอร์เซ็นต์ และการชะลอตัวของยอดขายผลิตภัณฑ์แช่แข็งในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง นั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3 เปอร์เซ็นต์ จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19, 15 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำให้มีความ สามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19 เปอร์เซ็นต์) และ เวียดนาม (20 เปอร์เซ็นต์) ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98 เปอร์เซ็นต์ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”
การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดย มิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
และ 3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange? 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก

Go To Lead


“แม็คโคร-โลตัส” เดินหน้าโครงการ “ลำไย ปันสุข…คืนสุข สู่ชุมชน” ปีที่ 6
หนุนเกษตรกร–ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก กระจายลำไยทั่วประเทศ
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจ ‘แม็คโคร-โลตัส’ มุ่งมั่นขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ด้วยการสร้างโอกาสทางธุรกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน เดินหน้าโครงการ “ลำไย ปันสุข…คืนสุข สู่ชุมชน” ปีที่ 6 หนึ่งในกลยุทธ์สนับสนุนเกษตรกรไทยเชิงระบบ ด้วยแนวทาง “ซื้อ-ช่วย-กระจาย” เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาผลไม้ตามฤดูกาล เฉพาะ “ลำไย” ซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญของภาคเหนือช่วงฤดูฝน โดยปีนี้ตั้งเป้ารับซื้อลำไย 1,100,000 กิโลกรัม และพร้อมกระจายสู่สาขาแม็คโครและโลตัสกว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2568
แม็คโคร-โลตัส สานต่อพันธกิจหลักในการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรไทย เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยให้มีรายได้ที่มั่นคง โดยร่วมกับศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) หอการค้าไทย และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยให้มีรายได้ที่มั่นคง พร้อมส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยคุณภาพอย่างยั่งยืน โดยในช่วงฤดูลำไยของทุกปี โครงการจะรับซื้อลำไยเกรดคุณภาพโดยตรงจากเกษตรกรแหล่งผลิตหลักในภาคเหนือ เช่น จังหวัดลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ และนำไปกระจายจำหน่ายผ่านเครือข่ายสาขา แม็คโครและโลตัสทั่วประเทศกว่า 2,600 สาขา เพื่อช่วยระบายผลผลิตในฤดูที่มีปริมาณมาก และรักษาเสถียรภาพของราคา”
โครงการ “ลำไย ปันสุข…คืนสุข สู่ชุมชน” ปีที่ 6 โดยทุกยอดการจำหน่ายลำไย 1 กิโลกรัม บริษัทฯ จะนำรายได้จากการจำหน่าย จำนวน 1 บาท นำไปสนับสนุนชุมชนในจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกลำไยที่สำคัญของประเทศต่อไป #CPAXTRA #ซีพีแอ็กซ์ตร้า #makroxlotuss #ลำไยปันสุข

Go To Lead


KEX ตอกย้ำความไว มั่นใจ Next Day Delivery* “ส่งวันนี้ พรุ่งนี้ถึง”
บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ผู้นำด้านธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนทั่วไทย ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วย“Next Day Delivery”* ที่เป็นมาตรฐานของ KEX ในการจัดส่งพัสดุจากต้นทางถึงปลายทางภายในวันถัดไป (Next Day) ครอบคลุมพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม และสมุทรสาคร สะท้อนความมุ่งมั่นของ KEX ที่ให้ความสำคัญกับ ความรวดเร็ว แม่นยำ ส่งให้กับผู้รับได้ตามที่ต้องการ
การจัดส่งพัสดุวันนี้ พรุ่งนี้ถึง ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปและผู้ประกอบการออนไลน์ (Social Commerce) โดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองและปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและการบริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว KEX จึงมุ่งมั่นพัฒนาระบบการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รองรับการส่งพัสดุถึงมือผู้รับได้อย่างมั่นใจ Next Day Delivery จาก KEX โดดเด่นด้วยความสามารถในการจัดส่งพัสดุจากต้นทางถึงปลายทางภายในวันทำการถัดไป สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการว่า “ส่งวันนี้ พรุ่งนี้ถึง” โดยครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลไม่ว่าจะเป็นนนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม หรือสมุทรสาคร
ลูกค้าสามารถนำพัสดุมาส่งได้ที่ร้านKEX ภายในเวลาทำการและก่อนเวลาตัดรอบของแต่ละสาขา โดยสามารถตรวจสอบเวลาตัดรอบของแต่ละสาขาได้ที่หน้าร้าน เพื่อความมั่นใจว่าพัสดุจะถูกส่งทันในรอบที่กำหนด อีกทั้งยังมั่นใจได้ในคุณภาพตามมาตรฐานของ KEX ที่มาพร้อมระบบติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกการจัดส่งเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ตลอดเส้นทาง ผู้สนใจสามารถใช้บริการได้แล้ววันนี้ที่ร้านKEX ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ th.kex-express.com หรือ โทร 1217

Go To Lead


[ENGLISH] 
  --  
iClickNews.com